Samsung ดึงความสามารถของ AI มาเป็นจุดขายหลักของ Samsung Galaxy S24 ซีรีส์ ที่ในรอบนี้เลื่อนวันเปิดตัวขึ้นมาอยู่ในช่วงเดือนมกราคม จากที่รุ่นก่อนหน้านี้จะทยอยเปิดตัวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมทำตลาดสมาร์ทโฟน ที่ซัมซุงมั่นใจว่าจะมาเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานของมือถือในอนาคต
ขณะเดียวกัน ยังนับเป็นความท้าทายของซัมซุงในการทวงคืนตำแหน่งผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนจากแอปเปิล (Apple) เนื่องจากข้อมูลทั้ง IDC และ Calalys ที่เก็บข้อมูลยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนในปี 2023 ที่ผ่านมา กลายเป็นว่ายอดขาย iPhone ขึ้นมาอยู่ที่ 234.6 ล้านเครื่อง ส่วนซัมซุงจำหน่ายสมาร์ทโฟนไปได้ 226.6 ล้านเครื่อง ทำให้เสียแชมป์ผู้นำที่อยู่มายาวนานกว่า 13 ปี
สำหรับรูปแบบการนำ AI มาใช้งานบน Galaxy S24 ซีรีส์ซัมซุง ใช้ชื่อเรียกว่า ‘Galaxy AI’ ที่ผสมผสานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสมาร์ทโฟน เพื่อนำเสนอการใช้งานที่แตกต่างออกไปจากเดิมโดยเฉพาะการเปิดให้ AI เข้ามาช่วยสร้างสรรค์เนื้อหาหรือปรับแต่งรูปภาพ จนถึงการแปลภาษา ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวคอนซูเมอร์เพื่อให้มีโอกาสใช้งานในชีวิตประจำวัน
ความเก่งกาจของ Galaxy AI ที่ถูกชูขึ้นมาคือเรื่องของการให้ AI มาช่วยสรุปข้อมูลรายละเอียดบนหน้าเว็บไซต์ให้สั้นลง ทำให้สามารถประหยัดเวลาในการอ่านข้อมูลต่างๆ มากขึ้น หรือแม้แต่การค้นหาสิ่งของ สถานที่ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือ ก็สามารถสั่งให้ Galaxy AI เข้าค้นหาข้อมูลผ่านกูเกิล เสิร์ชได้ทันที
โดยข้อมูลที่แสดงผลออกมายังสามารถใช้การพูดคุย โต้ตอบในลักษณะของ Generative AI เพื่อให้ค้นหารายละเอียด หรือสรุปข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งของ หรือสถานที่นั้นๆ อย่างเช่นช่วงเวลาการเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศได้ด้วย
นอกจากการค้นหาข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นแล้ว Galaxy AI ยังสามารถช่วยปรับแต่งประโยค หรือข้อความที่ต้องการส่งผ่าน SMS ให้มีภาษาที่สละสลวย เพิ่มความเป็นทางการมากขึ้น หรือแม้แต่ปรับให้เป็นภาษาโซเชียลที่มีการใส่อิโมจิเพิ่มเติมเข้าไป ซึ่งรองรับถึงภาษาไทยด้วย
ต่อเนื่องมาจนถึงความสามารถเด่นในการแปลภาษา ที่ใน Galaxy AI จะสามารถใช้แปลภาษาได้แบบเรียลไทม์ ทั้งการสนทนาระหว่างบุคคลต่อหน้า หรือแม้แต่การโทรศัพท์ผ่านฟีเจอร์ที่เรียกว่า Call Assistant ที่ปลายสายจะได้ยินในภาษาที่ตั้งไว้ เช่น การสนทนาระหว่างภาษาไทย กับภาษาเกาหลี เมื่อเราพูดภาษาไทยไป ปลายสายจะได้ยินเป็นเสียงภาษาเกาหลี และเมื่อปลายทางพูดภาษาเกาหลีกลับมาจะถูกแปลเป็นภาษาไทย
ความสามารถเหล่านี้จะเข้ามาช่วยทำลายขีดจำกัดทางด้านภาษา โดยเฉพาะฟีเจอร์ในการแปลภาษาระหว่างการสนทนา ที่สามารถใช้งานได้แม้ตัวเครื่องไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งระหว่างนี้ภาษาไทยกำลังถูกเร่งพัฒนาเพิ่มเติมจากทีมงานของซัมซุง เพื่อให้มีความแม่นยำมากที่สุด
ประโยชน์ที่มากกว่านั้น คือการที่ซัมซุง ทำงานร่วมกับทั้ง Microsoft และ Google ทำให้สามารถดึงความสามารถของทั้ง Microsoft Copilot และ Google Gemini มาช่วยเสริมให้ Samsung Gauss ที่เป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ของซัมซุงมีความแข็งแรง รวมทั้งให้มีความฉลาดมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน ด้วยการที่ Galaxy S ซีรีส์ นับเป็นสมาร์ทโฟนที่ให้ความสำคัญกับการถ่ายภาพ ฟีเจอร์ Galaxy AI ที่เพิ่มเติมเข้ามาในปีนี้จะมาช่วยในเรื่องของภาพถ่าย และวิดีโอด้วยเช่นกัน
อย่างเช่นการปรับแต่งรูปภาพที่ถ่ายมาเอียง หรือรายละเอียดภาพบางส่วนขาดหายไป Galaxy AI สามารถปรับให้ตรง พร้อมกับเติมรายละเอียดภาพเข้าไปได้ ในลักษณะของการทำ Generative Fill เข้าไปในรูปภาพต่างๆ รวมถึงการเปลี่ยนสีเสื้อผ้า กางเกง หรือวัตถุต่างๆ ก็สามารถทำได้
ฟีเจอร์เหล่านี้คือสิ่งที่เริ่มต้นยุคใหม่ของซัมซุง ด้วย Galaxy AI ที่จะเริ่มเปิดให้ใช้งานบน Galaxy S24, Galaxy S24+ และ Galaxy S24 Ultra ก่อนที่จะทยอยอัปเดตให้ผู้ที่ใช้งานเครื่องแฟลกชิปรุ่นเก่าอย่าง Galaxy S23 ซีรีส์ และ Galaxy Z Fold 5 และ Z Flip 5 ได้ใช้งานในอนาคต
***วัสดุไทเทเนียม กล้องคมชัดขึ้น
สำหรับการเปลี่ยนแปลงหลักที่เกิดขึ้นบน Galaxy S24 ซีรีส์ในรอบนี้จะมีตั้งแต่การปรับเปลี่ยนวัสดุที่ใช้งานใน Galaxy S24 Ultra มาใช้วัสดุไทเทเนียมที่มีความแข็งแรงขึ้น และให้น้ำหนักที่เบาลง ส่วนใน Galaxy S24+ และ S24 จะยังใช้วัสดุอะลูมิเนียมเช่นเดิม
เช่นเดียวกับหน้าจอที่มีการปรับเปลี่ยนใน Galaxy S24 Ultra จะปรับจากหน้าจอแบบขอบโค้งมาใช้หน้าจอแบน (Flat) แทน ในขณะที่ S24+ และ S24 เพิ่มขนาดขึ้นมาเล็กน้อย โดยทั้ง 3 รุ่นจะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.8 นิ้ว 6.7 นิ้ว และ 6.2 นิ้ว ตามลำดับ
โดยชิปเซ็ตที่ซัมซุงเลือกใช้ในรุ่นเรือธงอย่าง S24 Ultra จะเป็น Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 ทั่วโลก ในขณะที่ S24+ และ S24 ที่วางจำหน่ายในไทย รวมถึงในภูมิภาคอาเซียน จะใช้เป็น Exynos 2400 ที่ซัมซุงเร่งพัฒนาขึ้นมาและในรุ่นก่อนหน้าอย่าง S23 FE ได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน
ส่วนกล้องในรุ่น S24 Ultra มีการปรับปรุงกล้องซูม Telephoto ระยะ 5 เท่าให้มีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านพิกเซล เมื่อนำเทคโนโลยีรวมพิกเซล จะสามารถซูมแบบไม่เสียรายละเอียดได้ที่ระยะ 10 เท่า ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ช่วยให้เก็บรายละเอียดภาพซูมได้มากขึ้น
ขณะที่ระยะที่เหลือทั้งกล้องหลัก 200 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล และเลนส์ซูมระยะ 3 เท่า อยู่ที่ 10 ล้านพิกเซล ส่วน S24+ และ S24 จะได้กล้องหลักที่ 50 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล และเลนส์ซูม ระยะ 3 เท่า ที่ 10 ล้านพิกเซล เช่นเดิม
โดยแบตเตอรี่นับเป็นอีกจุดที่มีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังคงความสามารถในการชาร์จเร็วสูงสุดอยู่ที่ 45W โดยในรุ่น S24 Ultra จะมากับแบตเตอรี่ 5,000 mAh S24+ แบตเตอรี่ 4,900 mAh และรุ่น S24 แบตเตอรี่ 3,900 mAh ที่จะรองรับชาร์จเร็ว 25W แทน
อีกไฮไลต์สำคัญในการเปิดตัวคือ ซัมซุง ประกาศว่า Galaxy S24 ซีรีส์ จะได้รับการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ และระบบความปลอดภัยต่อเนื่อง 7 ปีข้างหน้า แสดงให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อม และการทำงานอย่างใกล้ชิดกับกูเกิล และนับเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรก นอกเหนือจากสินค้าในตระกูล Pixel ที่ได้รับมาตรฐานการอัปเกรดดังกล่าว
***ตลาดมือถือไทยยังเติบโตต่อเนื่อง
สิทธิโชค นพชินบุตร รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคม และไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวถึงพฤติกรรมการซื้อสมาร์ทโฟนของคนไทยในเวลานี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด นิยมใช้บริการผ่อนชำระมากขึ้น ถึงแม้จะซื้อสมาร์ทโฟนในรุ่นระดับเริ่มต้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเวลานี้
“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซัมซุงมีการเร่งทำบริการผ่อนชำระอย่างซัมซุง ไฟแนนซ์ ออกมาเป็นทางเลือกให้ลูกค้า กลายเป็นผลดีที่ทำให้ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟนได้ ถึงแม้ไม่มีเงินก้อน ทำให้ซัมซุงยังสามารถรักษาการเติบโตได้ต่อเนื่อง”
นอกเหนือจากการที่มีบริการอย่างซัมซุง ไฟแนนซ์ มาช่วยอุดช่องในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้น กลายเป็นว่าในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม โดยเฉพาะในสินค้าที่เป็นแฟลกชิปตระกูล Galaxy S ซีรีส์ และ Galaxy Z ซีรีส์ กลับมียอดขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคในกลุ่มนี้แทบไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม สิทธิโชค มองว่าในช่วงปี 2024 นี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะยังมีผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา หลายคนใช้เงินเก็บในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดทำให้ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าจะมีการจับจ่ายใช้สอยลดน้อยลง เพราะมีเป้าหมายในการเก็บเงิน
ส่วนปัจจัยที่จะทำให้การเปิดตัว Samsung Galaxy S24 ซีรีส์ ในรอบนี้ ได้รับการตอบรับที่ดีมาจากการที่สินค้าสามารถเข้ามาจำหน่ายได้ในช่วงปลายเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้กลุ่มผู้บริโภคที่สนใจรับสิทธิลดหย่อนภาษีจาก e-Tax ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าของสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
“การทำโปรโมชันของซัมซุงในช่วงหลังจะเห็นได้ว่าให้ความสำคัญกับลูกค้าเก่าเป็นหลัก ทั้งการนำเสนอโปรเทรดอินเครื่อง นำเครื่องรุ่นเก่ามาแลกรับส่วนลดเพิ่มเติม รวมถึงนำเสนอสิทธิพิเศษให้ลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าจะได้รับการอัปเกรดความจุเพิ่มขึ้น ทำให้มีความคุ้มค่า”
ทั้งนี้ เนื่องจากข้อจำกัดในการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์สโตร์ที่ไม่สามารถออก e-Tax เพื่อใช้ลดหย่อนได้ ทางซัมซุงกำลังมองหาแนวทางเพิ่มเติมอย่างการเข้าไปร่วมกับพันธมิตร ดีลเลอร์ ที่จะให้ร้านค้าสั่งจองผ่านช่องทางออนไลน์จำหน่ายแทน โดยเฉพาะสีพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะออนไลน์สโตร์ เพื่อให้ร้านค้าที่เข้าร่วมออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้แทน
ที่ผ่านมา ยอดจากช่องทางสั่งซื้อออนไลน์ของซัมซุงมียอดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องคิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของยอดขาย และในจำนวนนี้กว่าครึ่งเป็นการสั่งซื้อสีพิเศษที่มีจำหน่ายในแต่ละรุ่น
***ซื้อก่อน ต้องคุ้มที่สุด
ในส่วนของราคาจำหน่าย Samsung Galaxy S24 ซีรีส์ ในปีนี้จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเริ่มต้นที่ 33,900 บาท ในรุ่น Galaxy S24 (8/256GB) ขณะที่ Galaxy S24+ (12/256GB) จะเริ่มต้นอยู่ที่ 38,900 บาท และ Galaxy S24 Ultra (12/256GB) เริ่มต้นที่ 46,900 บาท
โดยลูกค้าที่ทำการสั่งจองล่วงหน้าจะได้รับสิทธิในการอัปเกรดความจุเป็นรุ่นถัดไปทันที รวมถึงฟรีประกันจอแตก และอุบัติเหตุ 1 ปี ไม่นับรวมกับโปรแกรมเทรดอินที่สามารถนำเครื่องรุ่นเก่ามาแลกซื้อเครื่องใหม่ที่จะได้รับราคาพิเศษเพิ่มเติมเข้าไปอีก
ที่สำคัญคือในปีนี้ ความสามารถใหม่ของ ‘Galaxy AI’ ที่เพิ่มเข้ามา สามารถใช้งานได้กับ Galaxy S24 ซีรีส์ในทุกรุ่น ดังนั้นถ้ามองแล้วว่าฟีเจอร์เหล่านั้นมีประโยชน์ช่วยให้การใช้งานสมาร์ทโฟนเข้ามาทำให้ชีวิตง่ายขึ้นก็สามารถเลือกซื้อรุ่นที่เหมาะสมได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกเฉพาะรุ่นที่สูงสุดเท่านั้น
