xs
xsm
sm
md
lg

2567 ปีที่โลก (เริ่ม) ไว้ใจ AI

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พ.ศ.2567 กำลังเป็นปีที่จะถูกจดจำในฐานะ “ปีที่ Gen AI กลายเป็นเมนสตรีม” เพราะชาวออนไลน์ส่วนใหญ่อาจจะเริ่มใช้งานปัญญาประดิษฐ์แบบสร้างสรรค์เนื้อหา หรือ Generative AI มาช่วยงานเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ งานสร้างสรรค์ศิลปะ ไปจนถึงงานเขียนเรียงความ เหตุผลหลักคือระบบ Gen AI สามารถสร้างเนื้อหาได้หลากหลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในอุตสาหกรรมและบางอาชีพ

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือ แชตจีพีที (ChatGPT) กลายเป็นองค์กรแถวหน้าในการเปิดตัว Gen AI ในช่วงปลายปี 2565 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากไมโครซอฟท์ (Microsoft) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วงการ AI มีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด อัลฟาเบ็ต (Alphabet) บริษัทแม่ของกูเกิล (Google) ถือเป็นผู้ที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุด เพราะการเปิดตัวเจมินี (Gemini) ซึ่งเป็น AI ที่จะถูกรวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ของ Google ทั้งแชตบอตและเครื่องมือค้นหา

Alphabet นั้นอ้างว่า Gemini มีประสิทธิภาพเหนือกว่า ChatGPT เวอร์ชันปัจจุบัน แต่โอเพ่นเอไอ (OpenAI) ผู้สร้าง ChatGPT บอกปัดว่ายังไม่เสร็จศึก อย่าเพิ่งนับศพทหาร เพราะ ChatGPT ยังมีการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งทำให้มีแนวโน้มว่า ChatGPT เวอร์ชันทรงพลังยิ่งขึ้นจะแจ้งเกิดในปี 2567

เรื่องนี้แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ผู้บริหารระดับสูงของ OpenAI เคยกล่าวในงานประชุมนักพัฒนา เมื่อพฤศจิกายน 2566 ว่าสิ่งที่ OpenAI เปิดตัวในปี 66 นั้นจะแตกต่างสุดขั้วเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทีมงานกำลังยุ่งอยู่กับการพัฒนาให้ผู้ใช้ทุกคนในขณะนี้ คำพูดนี้ถือเป็นสัญญาณสำคัญในช่วงเวลาที่นักลงทุนกำลังทุ่มเงินเข้าสู่อุตสาหกรรม โดยหวังว่าจะได้สนับสนุนผู้เล่นรายใหญ่รายต่อไป

จากข้อมูลของไอดีซี เม็ดเงินสะพัดในตลาด AI รวมแมชชีนเลิร์นนิง (ML) ทั่วโลกนั้นมีมูลค่า 7.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.48 ล้านล้านบาทในปี 2564 โดย 60% เป็นเม็ดเงินในตลาดแอปพลิเคชันหรือโซลูชัน (ราว 1.48 ล้านล้านบาท) ขณะที่ตลาด AI ทั่วเอเชียแปซิฟิกถูกประเมินว่าจะมีการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 41.69% ต่อปีแบบยิงยาวถึงปี 2570

ขณะที่ข้อมูลจาก PitchBook ทั่วโลก ชี้ว่าบริษัทจำนวนมากมีการร่วมลงทุนทุ่มเงินกว่า 2.14 หมื่นล้านดอลลาร์ให้บริษัทสตาร์ทอัปด้าน AI ในช่วงสิ้นเดือนกันยายน 2566 ตัวเลขนี้ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีการลงทุนเพียง 5.1 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่าโลกไม่ควรประมาทจนเกินไป และ Gen AI อาจจะมีช่วงสะดุดในปี 2567 เนื่องจากการโฆษณาเกินจริง และการมองข้ามอุปสรรคบางประการที่อาจทำให้เกิดภาวะการชะลอตัวลงเล็กน้อยในระยะเวลาสั้นๆ

ในอีกแง่หลายเสียงเชื่อว่าการพัฒนาและใช้งานระบบ Gen AI เพื่อสร้างสรรค์งานนั้นมีต้นทุนสูง เพราะต้องใช้พลังการประมวลผลจำนวนมาก ขณะที่ชิปคอมพิวเตอร์ราคาแพงอาจขาดแคลน ดังนั้น เพื่อลดต้นทุนลง มีการคาดการณ์ว่า AI บางตัวจะเปลี่ยนไปใช้ระบบไฮบริด ซึ่งการประมวลผลบางส่วนจะดำเนินการในเครื่องทั้งบนแล็ปท็อปหรือโทรศัพท์ของผู้ใช้เอง

ที่น่าสนใจคือกฎระเบียบและการกำกับดูแลทางกฎหมายอาจมีผลลด “ความคลั่งไคล้ AI” ในปัจจุบันลงได้ เนื่องจากหลายบริษัทอาจพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ได้ลงทุนเงินจำนวนมากในบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI แล้วจะต้องนำบางส่วนกลับมาปรับใหม่เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับ

จุดนี้สอดคล้องกับ 1 ใน 5 แนวโน้มที่ยักษ์ใหญ่สีฟ้าไอบีเอ็ม (IBM) ประเมินไว้สำหรับวงการ AI ในปี 2567 โดยเชื่อว่าองค์กรมีแนวโน้มหันมากำหนดตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายจริยธรรม AI มากขึ้นในปี 2567 เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบโดยเฉพาะโดยเป็นผู้ให้คำแนะนำและใช้อำนาจยับยั้ง รวมถึงทำให้เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้และเชื่อถือได้โดยผนวกจริยธรรมตลอดวงจรการพัฒนา AI

***5 เทรนด์ AI ปีมังกรในสายตา IBM

สวัสดิ์ อัศดารณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เชื่อว่า AI จะสร้างมูลค่าสู่ตลาดโลกไม่ต่ำกว่า 16 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 บนการเติบโตก้าวกระโดดหลายเท่าตัวภายในไม่กี่ปีจากนี้โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 67 คือความไม่แน่นอนที่เชื่อว่าจะเกิดเร็วขึ้นทั้งการระบาดหรือภัยพิบัติ ระบบ AI ในปี 67 จึงต้องมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้

สวัสดิ์ อัศดารณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย
ดังนั้น ส่วนหนึ่งใน 5 เทรนด์ที่จะเกิดในวงการ AI ปี 2567 คือโลกจะเห็นการลงทุนมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความไม่แน่ใจเรื่องธรรมาภิบาล AI เนื่องจากแต่ละแผนกในองค์กรอาจใช้ AI แบบต่างคนต่างใช้ ทำให้องค์กรมองว่าจะต้องมีการร่างจริยธรรมเพื่อดูความเหมาะสมของการใช้ AI แล้วจึงมีการรีสกิลให้พนักงานดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน

“ก่อนนี้องค์กรใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบที่มีอยู่ แต่จากนี้เราจะเห็นการเปลี่ยนจากการเอา AI เป็นตัวต่อยอด มาเป็นการสร้างความได้เปรียบขึ้นมาโดยเน้นไม่ต่อยอดอย่างเดียว เราจะเห็นการลงทุนจำนวนมาก แต่สิ่งที่ยังต้องคุยกันอยู่คือความไม่แน่ใจเรื่องธรรมาภิบาล แผนกแต่ละแผนกอาจใช้ AI แบบต่างคนต่างใช้ องค์กรจึงต้องมีการร่างจริยธรรมเพื่อดูความเหมาะสมของการใช้ AI แล้วรีสกิลให้คนในองค์กรทำแบบเดียวกัน ใช้เหมือนกัน บนการจัดการที่มีจริยธรรม”

เทรนด์แรกที่สวัสดิ์พูดถึงคือองค์กรจะเปลี่ยนจาก “Plus AI” เป็น “AI Plus” ซึ่งเป็นบิ๊กเทรนด์ที่หมายถึงการออกแบบที่วาง AI เป็นแกนหลักตั้งแต่ต้นไม่ใช่เอามาเสริมในภายหลัง (AI Plus)

โดยเทรนด์ที่ 2 คือด้านคน เพราะคนที่ใช้ AI จะมาแทนคนที่ไม่ใช้ โดย Gen AI จะส่งผลกระทบต่อแทบทุกตำแหน่งและทุกระดับงานในองค์กรช่วงปี 67

“ผู้คนจะไปทำงานในสิ่งที่มีคุณค่ามากขึ้น พนักงานที่สาขาอาจจะเปลี่ยนตัวเองไปให้บริการที่หน้าร้านโดยมี AI เป็นตัวเสริม คนที่ใช้ AI จึงมีโอกาสมากกว่า ผมคิดว่าองค์กรเล็กหรือสตาร์ทอัปอาจไม่เจอปัญหานี้ แต่ IBM ที่มีพนักงาน 2 แสนคนทั่วโลก จะต้องสร้างความคุ้นเคยและเอาหลักสูตรใหม่เข้ามาแล้วผูกกับ KPI ของพนักงาน อาจมีการบังคับให้เรียนแล้วต้องได้คะแนนตามที่กำหนดจึงจะขึ้นเงินเดือนค่าแรง เชื่อว่าจะเกิดการจัดการระดับผู้บริหาร ต้องทำจริงจัง ทั้งแบบทางตรงและอ้อม เพื่อให้เกิดจริง”

เทรนด์ที่ 3 คือเรื่องข้อมูลไม่ใช่เรื่องของแผนกไอทีอย่างเดียว แต่ฝ่ายบริหารระดับสูงต้องสนใจ จุดนี้ สวัสดิ์อธิบายว่า การรั่วไหลของข้อมูลจะเป็นสิ่งที่ถูกพูดคุยอย่างจริงจังในปี 67 ซึ่งไม่ใช่แค่การจัดเก็บ แต่จะมีการลงลึกถึงการปกป้องเพื่อให้เกิดความไว้วางใจในการลิงก์กับระบบนิเวศขององค์กรทุกหน่วยงาน เชื่อว่าการปกป้องที่ดีจะนำไปสู่การร่วมมือเป็นพันธมิตรมากกว่าบริษัทที่ไม่มีการปกป้องเลย


เทรนด์ที่ 4 คือการยอมปรับโมเดลการทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย ประเด็นนี้สวัสดิ์ชี้ว่าการพยากรณ์ของโมเดล AI ทำให้เกิดความตื่นตัวว่าหากเกิดภัยพิบัติอีกครั้ง องค์กรจะเดินอย่างไร เพื่อให้มีการตอบโต้กับเหตุได้เร็วขึ้นและปรับตัวได้ ดังนั้น ปี 67 จึงจะเกิดการจำลองเพื่อให้องค์กรตอบโต้สถานการณ์ร้ายได้อย่างไม่สะดุด เชื่อว่าจะมีการลงทุนและต่อยอด ตั้งแต่การให้ความสำคัญกับความยั่งยืน การลงทุนเพื่อให้เกิดแพลตฟอร์มข้อมูลรูปแบบใหม่ และการส่งรายงานที่จะมีผลต่อภาษี

เทรนด์ที่ 5 คืออีโคซิสเต็มไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ แต่คือกลยุทธ์ สวัสดิ์เชื่อว่าการร่วมทุนจำนวนมากจะเกิดในปี 67 โดยมีการจัดการเรื่องการใช้ดาต้าข้ามไปมา เพื่อให้เกิดการแชร์ที่ไม่รั่วไหล รวมถึงการมีเทคโนโลยี API ทำให้การต่อเชื่อมข้อมูลทำได้ง่าย ขณะเดียวกัน ธุรกิจจะกลับมาที่การเลือกพันธมิตรที่มีธรรมาภิบาลที่ดี และบริษัทที่ไม่มีการปกป้องที่ดีอาจไม่ถูกเลือกเป็นพันธมิตร

***ดัน AI ต้องเชื่อได้

สุรฤทธิ์ วูวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มเทคโนโลยี บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของ IBM ในการส่งเสริมให้เกิด AI ที่เชื่อถือได้สำหรับการใช้งานในองค์กรธุรกิจว่าบริษัทมีการลงทุนในเทคโนโลยีและหน่วยงานด้าน AI โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา IBM ได้เปิดตัววัตสันเอ็กซ์ (watsonx) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มข้อมูลและ AI ประกอบด้วยชุดเครื่องมือ AI พร้อมใช้สำหรับองค์กรสำหรับการฝึก ตรวจสอบ ปรับใช้และติดตั้งโมเดล AI โดยเมื่อเดือนกันยายน 66 บริษัทได้เปิดตัวโมเดลแรกในซีรีส์เกรนิต (watsonx Granite) ซึ่งเป็นคอลเลกชันของโมเดล Gen AI ที่เสริมการผนวกGen AI เข้ากับแอปพลิเคชันและเวิร์กโฟลว์ทางธุรกิจ

จนในเดือนพฤศจิกายน IBM ได้เปิดตัว Enterprise AI Venture มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนในบริษัท AI หลายแห่งทั่วโลก และล่าสุดเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2566 ทั้ง IBM และพันธมิตรอย่างเมต้า (Meta) ต้นสังกัดเฟซบุ๊กได้เปิดตัวสมาคมปัญญาประดิษฐ์ AI Alliance โดยร่วมกับสมาชิกผู้ก่อตั้งและผู้มีส่วนร่วมกว่า 50 รายทั่วโลก

“ไอบีเอ็มลงทุน 3 อย่าง 1.คือตั้งกองทุน ลงทุนในสตาร์ทอัปที่มีเทคโนน่าสนใจ ทั้งในและนอกองค์กร 2.ลงทุนในเทคโนโลยี AI ซึ่งมีมานานแล้ว เราไม่ทำสำหรับคอนซูเมอร์ แต่ทำเฉพาะเอ็นเตอร์ไพรส์ เราต้องเน้นเรื่องความน่าเชื่อถือ เพราะหากเกิดการให้ข้อมูลผิด แบรนด์จะเสียหาย ความมั่นใจจึงสำคัญมาก 3.เรื่องบุคลากร”

สุรฤทธิ์ วูวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มเทคโนโลยี  ไอบีเอ็ม ประเทศไทย
สุรฤทธิ์ยังเผยถึงแผนการโฮสต์โมเดลพารามิเตอร์ลามาทู (Llama 2-chat) จำนวน 70,000 ล้านพารามิเตอร์ของ Meta บน watsonx ซึ่งเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ของ IBM ในการใช้ประโยชน์จากทั้งโมเดลจากหน่วยงานอื่น (third-party) และโมเดล AI ของบริษัทเอง เพื่อรักษานวัตกรรมแบบเปิด ในอีกด้าน IBM ได้เข้าร่วมในการระดมทุน Series D มูลค่า 235 ล้านดอลลาร์ของฮักกิ้งเฟซ (Hugging Face) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันแบบโอเพ่นซอร์สชั้นนำ สำหรับชุมชนแมชชีนเลิร์นนิ่งโดย IBM มีส่วนร่วมในการมอบโมเดลและชุดข้อมูลแบบเปิดหลายร้อยรายการบน Hugging Face รวมถึงการเปิดตัวโมเดลพื้นฐานเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ล่าสุดที่ร่วมมือกับนาซา (NASA) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการช่วยระบุตำแหน่งและสาเหตุที่ประชากรเคลื่อนย้าย ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีให้บริการประชากรด้วยพลังงานหมุนเวียน รวมถึงสามารถประมาณการสถานที่กักเก็บคาร์บอนและระยะเวลาในการย่อยสลาย เป็นต้น

นอกจากนี้ เทคโนโลยี IBM Watson จะถูกผนวกลงในโซลูชันเอสเอพี (SAP) เพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกและระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งจะช่วยเร่งสร้างนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นทั่วทั้งพอร์ตโฟลิโอของโซลูชัน SAP ขณะเดียวกัน มีการขยายความร่วมมือกับ Amazon Web Services (AWS) เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าที่มีร่วมกันใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าจาก Gen AI เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว IBM Consulting ได้ตั้งเป้าที่จะพัฒนาและต่อยอดความเชี่ยวชาญด้าน Gen AI บน AWS ด้วยการฝึกอบรม 10,000 คนภายในสิ้นปี 2567 นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยังวางแผนที่จะนำเสนอโซลูชันและบริการร่วมกันบนพื้นฐานของ Gen AI

“เราไม่เชื่อว่าจะมีโมเดลขนาดใหญ่ที่ทำงานได้ทุกเรื่อง แต่เราเชื่อในการมีหลายโมเดลเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เร็วกว่า”
สุรฤทธิ์ยกตัวอย่างการใช้ AI ในองค์กรบริษัทว่างานกิจวัตรในฝ่ายบุคคลที่ต้องดูแลพนักงานหลายร้อยคนนั้นสามารถพิมพ์ให้ระบบ AI ทำงานแทน ทั้งการดูประสิทธิภาพพนักงาน การเจเนอเรตคุณสมบัติพนักงานเพื่อรับสมัครงานอย่างครอบคลุม ขณะเดียวกัน AI ยังช่วยเรื่องงานบริการลูกค้าการตอบคำถามลูกค้าด้วยแชตบอต การให้บริการผู้ช่วยส่วนตัวที่สามารถทำงานแทนได้ ทั้งหมดเป็นบางส่วนของยูสเคสต่างประเทศ ซึ่งในประเทศไทยยังเปิดเผยไม่ได้

สุรฤทธิ์ให้ข้อมูลทิ้งท้ายว่าโมเดลอัตโนมัติบน Hugging Face ที่บริษัททั่วโลกรวมถึงบริษัทไทยมีการหยิบมาใช้เป็นโอเพ่นซอร์สคือโมเดลภาษา โดยบางบริษัทใช้แมชชีนเลิร์นนิ่งในการสรุปเคส หรือสรุปเนื้อหาจากสายโทรศัพท์และอีเมลที่ลูกค้าติดต่อเจ้าหน้าที่เป็นภาษาไทย ขณะเดียวกัน ยังมีการนำโมเดล AI มายกระดับการจัดการดาต้า รวมถึงช่วยกระบวนการซิเคียวริตีให้บริษัทสามารถรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้ดีขึ้น

ซึ่งจะทำให้ 2567 เป็นปีที่โลก (เริ่มจะ) ไว้ใจ AI ได้มากขึ้นอีกเล็กน้อย


กำลังโหลดความคิดเห็น