ริบบอน (Ribbon) เผยแผนลงทุนเพื่อดันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตระดับโลก เป้าหมายหลักเน้นรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เป็นทางเลือกใหม่เพื่อสร้างเครือข่ายแห่งอนาคต ระบุการตั้งฐานการผลิตในไทยเริ่มเปิดสายพานแล้ว 2 เดือน พร้อมลุยขยายสำนักงานผลักดันการเติบโตทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกการลงทุนไทยเป็นภาคต่อจากแผนระยะยาวด้านซัปพลายเชน มั่นใจจังหวะดีหลังตลาดโซลูชันไอพีออปติคัลบูมแรงทั่วเอเชียแปซิฟิก สถิติยอดสั่งจองหลังโควิด-19 เพิ่มขึ้น 50% ต่อปี
นายแซม บุชชี่ รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ของริบบอน กล่าวถึง 4 ปัจจัยบวกที่ดันให้ดีมานด์ในตลาดโซลูชันไอพีออปติคัลช่วงหลังโควิด-19 มีความต้องการเพิ่มขึ้น ว่า ได้แก่ความต้องการโซลูชันด้านการบริการเครือข่าย ทราฟฟิกการใช้งานที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดต่อปี ความซับซ้อนและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการขยายธุรกิจ ทั้งหมดนี้ทำให้ริบบอนเห็นโอกาสชัดเจนจากการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการใช้งานเครือข่ายข้อมูลเฉลี่ย 24G ต่อคนต่อเดือน และยังมีอัตราการใช้งาน 5G ที่มีสัดส่วนสูงระดับโลก
"การลงทุนในไทยจะเป็นการลงทุนที่สำคัญ เพราะธุรกิจโทรคมนาคมในไทยมีความโดดเด่น นอกจากนี้ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่โควิด-19 วงการซัปพลายเชนมีความโกลาหลมาก เชื่อว่าการลงทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น เพราะสามารถจัดส่งสินค้าได้ทันเวลา"
ริบบอน คอมมิวนิเคชันส์ อิงค์ (Ribbon Communications Inc., Nasdaq : RBBN) มองตัวเองเป็นผู้ให้บริการระดับโลกด้านเทคโนโลยีการสื่อสารแบบเรียลไทม์และโซลูชันเครือข่ายไอพีและออปติคัล เซกเมนต์กลุ่มตลาดที่ริบบอนแบ่งไว้ 3 กลุ่มในปัจจุบันประกอบด้วยกลุ่มผู้ให้บริการ กลุ่มองค์กรธุรกิจ และกลุ่มผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน ที่ผ่านมา ริบบอนมีลูกค้าเป็นบริษัทรายใหญ่ระดับโลกที่สามารถยกระดับและปกป้องเครือข่ายให้ทันสมัยและปลอดภัย สะท้อนความมุ่งมั่นของริบบอนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
สินค้าเด่นของริบบอนคือเทคโนโลยี IP Wave ซึ่งถูกการันตีว่าได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับทุกความต้องการอย่างเต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่าการลงทุน เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการและองค์กรต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างนำเครือข่าย 5G มาพัฒนาความเร็ว ความคล่องตัว ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของเครือข่ายที่ให้บริการ ดังนั้น ริบบอนจึงตัดสินใจขยายการดำเนินงานของบริษัทในประเทศไทย เพื่อตอบสนองตลาดโทรคมนาคมได้ดียิ่งขึ้นด้วยโซลูชันไอพีออปติคัลของริบบอน
ภายในปีนี้ ริบบอนย้ำว่าจะเริ่มผลิตผลิตภัณฑ์ไอพีและออปติคัลบางรุ่นในประเทศไทย ซึ่งเป็นการขยายเครือข่ายซัปพลายเชนระดับโลกให้กว้างขวางขึ้นไปอีก และจะกลายเป็นหนึ่งในศูนย์ที่ใช้ในการผลิตแพลตฟอร์ม Apollo OT 9408 ที่ริบบอนเพิ่งประกาศเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งนี้ Apollo OT 9408 เป็นเทคโนโลยีออปติคอลขั้นสูงที่ช่วยเพิ่มศักยภาพเครือข่ายส่วนทรานสปอร์ตให้เร็วมากขึ้นและมีความจุสูงมากยิ่งขึ้น โดยมอบความเร็ว 1.2T ต่อความยาวคลื่น (1.2T per wavelength) ให้ขนาดความจุได้มากถึง 19.2T จึงให้ความคุ้มค่าและผลประโยชน์มากเมื่อเปรียบเทียบด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ
“ริบบอนมีเป้าหมายที่จะขยายสำนักงานแห่งใหม่เพื่อรองรับกิจกรรมสนับสนุนให้ลูกค้า พันธมิตร รวมถึงพนักงานของริบบอนให้คล่องตัวมากขึ้น” แซมกล่าวเสริม “การตั้งฐานการผลิตและการขยายกิจการในครั้งนี้จะเป็นการวางรากฐานสำหรับการเจริญเติบโต และแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป”
ริบบอนไม่ระบุว่าการลงทุนในไทยครั้งนี้เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 55 ปีที่ดำเนินกิจการ แต่ย้ำว่าบริษัทได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาห่วงโซ่การผลิตหรือซัปพลายเชนมาตลอดเวลา เบื้องต้น เชื่อว่าผลหรืออิมแพกต์จากการตั้งสายการผลิตใหม่ในไทย จะนำไปสู่การเพิ่มการจ้างงาน การพัฒนาเทคโนโลยี และส่งต่อความเชี่ยวชาญสู่บุคลากรในประเทศไทยมากขึ้น
ในอีกด้าน ริบบอนเชื่อว่าการลงทุนในไทยเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่บริษัทต้องการเพิ่มกำลังการผลิต (capacity) เพื่อตอบความต้องการมหาศาลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยล่าสุดพบว่ายอดมูลค่าการสั่งจองโซลูชันไอพีออปติคัลนั้นเพิ่มขึ้นเกิน 50% ต่อปี จากมูลค่าตลาดรวม 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกถึงดีมานด์ในตลาดได้