นูทานิกซ์ (Nutanix) พบแนวโน้มองค์กรในเอเชียแปซิฟิกแห่นำไฮบริดมัลติคลาวด์มาใช้เพิ่มขึ้นยังแรงต่อเนื่อง ดันให้ปัญหาเรื่องหลายองค์กรกำลังเสี่ยง “มองไม่เห็น” บางข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในแพลตฟอร์มคลาวด์ยิ่งเห็นชัดขึ้น ระบุองค์กรวันนี้มองหาแพลตฟอร์มที่ปรับขนาดได้เพื่อสร้าง ดำเนินการ ควบคุม และเรียกใช้แอปพลิเคชันหลักร้อยในดาต้าเซ็นเตอร์ ด้านคนไอทีกำลังเผชิญความท้าทายในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน จนต้องใช้วิธีแบบกำหนดเองเพื่อปรับใช้ระบบคลาวด์ตามความต้องการเฉพาะทางและจัดการต้นทุนระบบคลาวด์ได้ดีขึ้น ขณะที่การรักษาความปลอดภัยข้อมูลยังเป็นเรื่องอันดับต้นที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งหมดนี้ดันฐานลูกค้า Nutanix ขยายตัว โดยเฉพาะลูกค้าไทยที่เพิ่มขึ้น 14% ในไตรมาส 2 ปี 2023
นายแอรอน ไวท์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น นูทานิกซ์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านซอฟต์แวร์คลาวด์และโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวอร์จรายใหญ่จากสหรัฐฯ ระบุว่า บริษัทสามารถเติบโตได้ดีมากในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2023 (พ.ย.65-ม.ค.66) โดย Nutanix สามารถเรียกเก็บเงินค่าบริการรายปีหรือ ACV ได้มากกว่า 268 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบเป็นรายปี และมีอัตรากำไรจากกระแสเงินสดที่ทำลายสถิติ ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนลูกค้า Nutanix ทั้งหมดในประเทศต่างๆ ทั่ว APJ เพิ่มขึ้นทุกปี การเติบโตนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงการเพิ่มขึ้นของการนำไฮบริดมัลติคลาวด์มาใช้มากขึ้นแบบทวีคูณ แม้หลายบริษัทจะมองว่างบประมาณเป็นเรื่องสำคัญในภาวะเศรษฐกิจผันผวนหลังยุคโควิด-19
“ประเทศไทยมีลูกค้ามากขึ้น 14% เชื่อว่าจะมีลูกค้าไทยมากขึ้นอีกโดย Nutanix จะดึงดูดลูกค้าได้ด้วยการใช้งานที่ง่าย-ลดความซับซ้อนในระบบ รวมถึงการลดต้นทุนขององค์กรที่จะประหยัดได้ในระยะยาว 3-5 ปี โดยเฉพาะต้นทุนพลังงาน และการมอบระบบที่ขยายตัวและยืดหยุ่นได้”
แอรอน ยอมรับว่า งบประมาณยังคงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กรส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น แต่มั่นใจว่า Nutanix จะเป็นโซลูชันที่เหมาะสมกับการลงทุน เพราะความคุ้มค่าในระยะยาว 3-5 ปี ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้องค์กรรันแอปพลิเคชันได้ดี ลดการเกิดดาวน์ไทม์ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้มากกว่า โดยปัจจุบัน Nutanix มีเทคโนโลยี AI ที่ช่วยบริหารต้นทุนด้านไอที เพื่อตอบโจทย์องค์กรที่กำลังพยายามลดค่าใช้จ่าย
ไม่เพียงประเทศไทยที่ Nutanix มีฐานลูกค้าเติบโต 14% ยังมีประเทศญี่ปุ่นที่เป็นแหล่งฐานลูกค้าใหม่ Nutanix เพิ่มขึ้น 16% ในขณะที่อินเดียมีการเติบโต 17% และสิงคโปร์ซึ่งมีตัวเลขของจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น 13% ในไตรมาส 2 ปีการเงิน 2023 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า (พ.ย.64-ม.ค.65)
นอกจากการเติบโต Nutanix ระบุว่าได้สังเกตถึงแนวโน้มหลัก 3 ประการทั่วภูมิภาค APJ ในช่วงไตรมาสดังกล่าว โดยแนวโน้มแรกคือ “การสร่างเมาจากอาการเมาค้างของ COVID และลงมือทำธุรกิจ” เนื่องจากปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่มองเห็นถึงประโยชน์และความจำเป็นของการเรียกใช้เวิร์กโหลดที่หลากหลายได้พร้อมกัน ทั้งบนคลาวด์สาธารณะ คลาวด์ในองค์กร และเอดจ์ เบื้องต้น Nutanix พบว่าหลายองค์กรกำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบคลาวด์และสร้างแอปพลิเคชันและบริการบนคลาวด์เนทีฟใหม่ใน Kubernetes เพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับขนาดและพร้อมเปิดใช้งานฟีเจอร์ใหม่
แนวโน้มที่ 2 คือ "ความสามารถในการปรับขนาดคือผู้ชนะในระบบคลาวด์" เนื่องจาก Nutanix พบว่าองค์กรกำลังหาทางปรับปรุงการส่งมอบแอปพลิเคชันและการจัดการให้ทันสมัย และพยายามเพิ่มประสิทธิภาพและขนาดที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ด้วยการใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบผสมไฮบริดที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สภาพแวดล้อมด้านไอทียุคใหม่ที่ซับซ้อนจึงกลายเป็นความท้าทายสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไอที และองค์กรจำนวนไม่น้อยกำลังสูญเสียการมองเห็นบางข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในแพลตฟอร์มคลาวด์ หรือแอปพลิเคชันต่างๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ข้อมูลหลุดรอดสายตา หลายองค์กรมองหาแพลตฟอร์มที่ปรับขนาดได้เพื่อสร้าง ดำเนินการ ควบคุม และเรียกใช้แอปพลิเคชันทั้งหมดที่มีในดาต้าเซ็นเตอร์ในลักษณะ "เป็นหนึ่งเดียวกัน" มากขึ้น
แนวโน้มที่ 3 คือ "องค์กรกำลังแน่วแน่กับการก้าวไปสู่อิสรภาพบนคลาวด์" โดย Nutanix พบว่าองค์กรจำนวนมากมีจุดยืนไม่รีบนำโซลูชันที่มีอยู่แล้วในตลาดมาใช้ แต่เลือกที่จะใช้เวลาในการประเมินและทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า จากนั้นจึงพัฒนากลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะจัดการกับปัญหาในธุรกิจได้โดยเฉพาะ
"ด้วยการใช้โซลูชันระบบคลาวด์ขององค์กรที่กำหนดเอง ผู้นำด้านไอทีสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขาปฏิบัติตามมาตรฐานระดับภูมิภาคและอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันอย่างครบถ้วน ในขณะที่จัดการต้นทุนระบบคลาวด์ได้ด้วย ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว องค์กรต่างๆ ต้องการความง่ายและการปรับขนาดได้มากที่สุด"
ในอีกด้าน การศึกษาเรื่องดัชนีตลาดคลาวด์องค์กร (Enterprise Cloud Index) ล่าสุดของ Nutanix ยังเผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ เช่น 60% ของทีมไอทีระบุว่าใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีมากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานระหว่างไพรเวทและพับลิกคลาวด์ คลาวด์สาธารณะหลายตัว หรือคลาวด์ส่วนตัวในองค์กร พร้อมกับศูนย์ข้อมูลที่ปลายทางของเครือข่ายหรือเอดจ์ ตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบสามในสี่ (74%) ในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ 94% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ECI ยอมรับว่าได้รับประโยชน์จากการมี “พื้นที่เดียว” ที่รวมการจัดการทุกอย่างไว้บนแหล่งเดียวโดยสามารถจัดการแอปพลิเคชันและข้อมูลในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย การสำรวจชี้ว่าความปลอดภัยของข้อมูล การปกป้องและการกู้คืน อำนาจอธิปไตย และการแจกจ่ายในสภาพแวดล้อมต่างๆ นั้นมีคะแนนอยู่ในอันดับต้นของรายการตัวขับเคลื่อนหลักของการพิจารณาใช้โครงสร้างไอที
โดยรวมแล้ว ไฮไลต์และแนวโน้มในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2023 ของ Nutanix แสดงให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ มีความชำนาญมากขึ้นในการนำไฮบริดมัลติคลาวด์มาใช้งาน ในขณะเดียวกัน ต้องการความมั่นใจในความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูล ทั้งหมดนี้ทำให้ Nutanix มุ่งจับมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการคลาวด์ที่หลากหลายและครอบคลุม ซึ่งจะดันให้ Nutanix มีการเติบโตทางธุรกิจมากขึ้นอีกในช่วงไตรมาสถัดๆ ไป