ประเทศไทยไม่ได้ร้อนที่เดียว เพราะตลาดกล้องดิจิทัลโลกก็กลับมาร้อนแรงอีกครั้งหลังครีเอเตอร์ และตากล้องอยากขยับอุปกรณ์ขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ สถิติชี้ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2 เท่าใน 3 ปี เพราะดีมานด์มหาศาลของกล้องมิเรอร์เลสที่เพิ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ด้านตลาดไทยแม้จำนวนยอดขายเครื่องจะพุ่งสุดพีกไปแล้วเมื่อปี 65 และมีแนวโน้มชะลอตัวในปี 66 แต่ยอดขายในเชิงมูลค่าจะไม่ชะลอตาม สะท้อนเม็ดเงินสะพัดก้อนโตในตลาดกล้องดิจิทัลที่จะยังทรงพลังต่อในช่วงผู้คนออกท่องเที่ยวหลังโควิด-19
***มิเรอร์เลสไฮเอนด์ดันตลาดโต
สมาคมผู้ค้ากล้องและผลิตภัณฑ์ด้านภาพ (Camera and Imaging Products Association หรือ CIPA) เปิดเผยผลสำรวจราคากล้องดิจิทัลในช่วงปี 2563-2565 พบว่าราคาเฉลี่ยดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากกล้องรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคุณสมบัติขั้นสูงอื่นๆ สามารถดึงดูดช่างภาพผู้ต้องการอุปกรณ์ที่เหนือกว่ากล้องสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะกล้องมิเรอร์เลสพรีเมียมที่เป็นแรงดันสำคัญให้ตลาดเติบโต
สำนักข่าวนิกเคอิเอเชียยกสถิติจาก CIPA มารายงานว่าราคาเฉลี่ยกล้องดิจิทัลทั่วโลกในปี 2565 อยู่ที่ 85,000 เยน (ราว 21,850 บาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบจาก 3 ปีที่แล้ว ผลจากการตัดสินใจของผู้ผลิตกล้องรายใหญ่ที่ปรับลดความสำคัญของสินค้ากลุ่มกล้องคอมแพกต์ประเภท ‘เล็งแล้วถ่าย’ ลง เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่ถูกแทนที่ด้วยกล้องในสมาร์ทโฟนนอกจากนี้กล้องมิเรอร์เลสที่มีประสิทธิภาพและฟีเจอร์หลากหลาย และมีราคาแพงกว่ากลับได้รับความนิยมแทนกล้องตัวใหญ่อย่าง DSLR นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เห็นได้ชัดเจน
ผลจากภาวะนี้ทำให้ CIPA พบมูลค่ายอดจัดส่งกล้องดิจิทัลเพิ่มขึ้น 40% ในปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่ 2 ที่อุตสาหกรรมกล้องถ่ายรูปมีอัตราเติบโตของกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนภาพตลาดฟื้นตัวหลังจากซบเซามานานในช่วงการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19
ในมุมผู้ผลิต เหล่าผู้บริหารของบริษัทกล้องยักษ์ใหญ่ล้วนออกมาแสดงความเห็นว่าการปรับสายการผลิตไปเน้นกล้องมิเรอร์เลสที่มีราคาแพงขึ้นนั้นเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด เช่น ‘ฮิโรยูกิ อิเคกามิ’ ผู้จัดการทั่วไปหน่วยธุรกิจการถ่ายภาพของนิคอน (Nikon) ให้สัมภาษณ์กับนิกเคอิว่าคนรุ่นใหม่สนใจการถ่ายภาพมากขึ้นจากการโต้ตอบกับรูปภาพจำนวนมากบนโซเชียลมีเดีย
ในขณะที่ตากล้องรุ่นดั้งเดิมที่คุ้นเคยกับกล้อง DSLR ก็หันมาสนใจเทคโนโลยีใหม่ในกล้องมิเรอร์เลส ยังมี ‘ชิเงกิ อิชิซูกะ’ ประธาน CIPA และรองประธานกลุ่มโซนี่กรุ๊ป (Sony Group) ที่ชี้ว่ากล้องดิจิทัลแบบเปลี่ยนเลนส์ได้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากการแพร่กระจายของสมาร์ทโฟนทำให้การถ่ายภาพกลายเป็นกิจกรรมประจำวัน ทำให้โลกนี้มี ‘ช่างภาพที่มีทักษะ’ จำนวนมากขึ้น ซึ่งหันมาสนใจกล้องแบบเปลี่ยนเลนส์ได้
แต่ในมุมผู้บริโภค การที่บริษัทกล้องได้ปรับลดจำนวนสายผลิตภัณฑ์ลง จนเหลือไว้แต่กล้องประสิทธิภาพดีที่มีราคาสูงและให้ภาพคมชัดมืออาชีพกว่าภาพจากสมาร์ทโฟนอย่างเห็นได้ชัด จะทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อกล้องนั้นถูกผูกไว้กับรุ่นที่มีราคาสูงเพราะเป็นตัวเลือกเดียวที่มี เนื่องจากสินค้ากลุ่มกล้อง DSLR ที่มีราคาต่ำกว่านั้นแทบจะหดหายไปจากตลาด ซึ่งการหดหายไปนี้เป็นอีกสาเหตุหลักที่อธิบายได้ว่าราคากล้องเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2 เท่าตั้งแต่ปี 2019 ได้จริง
การขายกล้องมิเรอร์เลสระดับไฮเอนด์ได้น้อยลงในราคาที่สูงขึ้น สามารถสร้างรายได้ให้บริษัทกล้องได้มากกว่าเมื่อเทียบกับการยังคงขายกล้อง DSLR ระดับล่างและคุณภาพต่ำกว่า โดยสถิติจาก CIPA ชี้ว่าการจัดส่งกล้องดิจิทัลทั้งหมดในภาพรวมนั้นลดลง 4.2% เป็น 8.01 ล้านหน่วย แต่ยอดจัดส่งกล้องดิจิทัลแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ในปี 2565 เพิ่มขึ้นเกือบ 11% ในจำนวนนี้เป็นยอดจัดส่งกล้องแบบเปลี่ยนเลนส์ได้จำนวน 5.93 ล้านเครื่อง กล้องระดับนี้คิดเป็นเกือบ 3 ใน 4 (74%) ของการจัดส่งทั้งหมด ในขณะเดียวกัน การจัดส่งเลนส์ในปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 9.73 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2% จากปีที่แล้ว แต่คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 1.6 เท่า เมื่อเทียบกับจำนวนบอดี้ตัวกล้องแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ที่ถูกจัดส่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การจัดส่งกล้องดิจิทัลหดตัว ก่อนหน้านี้ ตลาดกล้องเริ่มหดตัวลงครั้งแรกในปี 2552 เนื่องจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก แม้ว่าจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2560 แต่ตัวเลขของ CIPA แสดงให้เห็นว่าตลาดกล้องนั้นซบเซาต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีติดต่อกันตั้งแต่ปี 2561 สาเหตุหลักที่ทำให้ยอดจัดส่งโดยรวมลดลงคือการเพิ่มขึ้นของสมาร์ทโฟน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อยอดขายของกล้องดิจิทัลคอมแพกต์ ซึ่งในปี 2565 การจัดส่งกล้องดิจิทัลที่มีเลนส์ในตัวนั้นลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยมีการจัดส่งเพียง 2.08 ล้านเครื่อง หรือราว 26% ของทั้งหมด
***ตลาดไทยเลยช่วงพีก
"เนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข" ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดกล้องดิจิทัลไทยว่าสินค้ากลุ่มกล้องฟูลเฟรมนั้นเติบโตมาก โดยสถิติจากบริษัทวิจัย GFK พบว่ายอดขายรวมลดลงสวนทางกลุ่มฟูลเฟรมที่ขยายตัว โดยปี 2565 ประเทศไทยมียอดจำหน่ายกล้องดิจิทัลรวม 9.5 หมื่นตัว (ลดลง 13%) ในจำนวนนี้เป็นกล้องมิเรอร์เลส 5.5 หมื่นตัว
‘สมาร์ทโฟนไม่ได้มาแทนที่ กล้องดิจิทัลยังเป็นเซกเมนต์ที่เติบโตต่อ ตลาดมีความพร้อมมากทั้งฟีเจอร์ ราคา ซัปพลาย และดีมานด์ ตลาดไทยปีที่แล้วเริ่มคึกคักหลังมีการเปิดประเทศ เริ่มมีงานแฟร์ ลูกค้ามีกำลังซื้อ ขายออนไลน์ดีมาก’
แม้ยอดขายจำนวนบอดี้กล้องดิจิทัลในประเทศไทยจะลดลง 13% แต่ยอดขายในเชิงมูลค่าจะไม่ได้ลดลงในระดับเดียวกัน จุดนี้แคนนอนเชื่อว่าท่ามกลางจำนวนยอดขายกล้องที่จะไม่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังโควิด-19 แต่บริษัทคาดหวังการเติบโตในเชิงมูลค่าราว 20% คิดเป็นรายได้ไม่ต่ำกว่า 700-800 ล้านบาท ซึ่งแคนนอนมุ่งมั่นจะไปชนกับคู่แข่ง หลังจากที่บริษัทสามารถบันทึกการเติบโตราว 50% ในช่วงปี 2564 ที่ตลาดเพิ่งฟื้นจากการซบเซาที่ผิดปกติ
ปัจจุบัน แคนนอนถือเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกล้องดิจิทัลที่มีส่วนแบ่งการตลาดราว 25% โดยรายได้จากธุรกิจกล้องนั้นคิดเป็น 30% ของรายได้รวมแคนนอนมาร์เก็ตติ้งประเทศไทย ซึ่งนอกจากกล้องดิจิทัล แคนนอนย้ำว่าจะให้น้ำหนักกับทุกธุรกิจที่จะพื้นตัวทุกคีย์เซกเมนต์หลังจากเศรษฐกิจประเทศไทยดีขึ้น โดยมีแผนขยายธุรกิจใหม่ไปที่ตลาดกล้องวงจรปิด ซึ่งจะให้บริการเป็นโซลูชันการตรวจจับด้านการรักษาความปลอดภัย เป็นการขยายตลาดในปีนี้
หนึ่งในไฮไลต์ที่แคนนอนจะมาตีตลาดไทยในปีนี้คือกล้อง EOS R8 ซึ่งเป็นกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมที่จะวางจำหน่ายในปลายเดือนเมษายน รุ่นเล็กน้ำหนักเบามาพร้อมกับเทคโนโลยีโฟกัสอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งสามารถติดตามวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วได้หลากหลาย ตั้งแต่คน สัตว์ ไปจนถึงยานพาหนะ สามารถถ่ายภาพได้ 40 เฟรมต่อวินาที ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของแคนนอน
ราคาของ EOS R8 นั้นไม่ธรรมดา โดยราคาเฉพาะตัวเครื่องอยู่ที่ 56,590 บาท ราคานี้สูงกว่า EOS R50 ซึ่งกล้องมิเรอร์เลสเปลี่ยนเลนส์ได้แบบ APSC ระดับเริ่มต้นที่เน้นเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ในราคา 28,990 บาท
ในขณะที่แคนนอนเน้นเปิดตัวรุ่นใหม่ โซนี่ (Sony) ผู้ผลิตกล้องคู่แข่งก็เปิดตัวกล้อง VLOG แบบฟูลเฟรมเปลี่ยนเลนส์ได้ที่ถูกเคลมว่าเบาที่สุดในโลกเช่นกัน นั่นคือ Alpha ZV-E1 ที่สามารถใช้งานร่วมกับกลุ่มผลิตภัณฑ์เลนส์ E-Mount ของโซนี่ โดยมาพร้อมเซ็นเซอร์รับภาพแบบฟูลเฟรม 35 มม.มีเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการไล่เฉดสีที่หลากหลาย ให้สัญญาณรบกวนต่ำ และความไวแสงสูง ในขณะที่ตัวกล้องได้รับการออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัด ตอบโจทย์การทำงานที่ต้องการความประณีต ราคาเริ่ม 77,990 บาท
นอกจากกล้องใหม่โซนี่ยังเปิดตัวแพลตฟอร์มครีเอเตอร์ส คลาวด์ (Creators’ Cloud) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดเก็บและแบ่งปันภาพถ่ายและวิดีโอสำหรับผู้ใช้แต่ละคน โดยจะเปิดตัวฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้ผู้คนทั่วโลกสามารถแชร์ผลงานและเชื่อมต่อถึงกันได้
ฝั่งฟูจิฟิลม์ (Fujifilm) ก็กำลังมุ่งเน้นไปที่วิดีโอ ที่เด่นคือกล้องมิเรอร์เลส X-H2S ที่มีกำหนดเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ ให้กล้องสามารถตรวจจับภาพแมลงโดยใช้เทคโนโลยีโฟกัสอัตโนมัติแบบ Deep Learning เพื่อให้สามารถติดตามวัตถุที่มีความเร็วสูงได้อย่างน่าเชื่อถือด้วย
ที่สุดแล้ว บทสรุปของภาวะกล้องดิจิทัลที่กลับมาฮอตด้วยราคาเฉลี่ยที่พุ่งขึ้น 2 เท่าใน 3 ปี คือแนวโน้มการพัฒนากล้องยุคใหม่ที่มีความอัจฉริยะและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานมากขึ้น ทั้งการยกระดับให้ฟีเจอร์ถ่ายภาพใกล้หรือมาโคร สามารถให้ภาพอาหารที่คมชัดทั้งจานแทนที่จะชัดจุดเดียว รวมถึงการเพิ่มพอร์ต USB-C ให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกล้องเข้ากับโทรศัพท์มือถือได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านคอมพิวเตอร์ หรือการใช้โปรเซสเซอร์ร่วมกับอัลกอริธึม AI ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้กล้องแล้วเก็บในหน่วยความจำชั่วคราว เพื่อการตั้งค่ากล้องแบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี Deep Learning
ทั้งหมดนี้ตากล้องจะไม่ต้องเมื่อย ขอแค่เก็บเงินซื้อให้ทันก็พอ