xs
xsm
sm
md
lg

‘เอปสัน’ ใช้ ‘New S-Curve’ รับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจพรินเตอร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การทรานฟอร์มธุรกิจของ ‘เอปสัน’ เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจพรินเตอร์ หรือเครื่องพิมพ์ที่ปัจจุบันความต้องการงานพิมพ์เอกสารเพื่อใช้งานสำหรับผู้บริโภคทั่วไปลดลง แต่กลับกันงานพิมพ์ในภาคธุรกิจต่างๆ ยังมีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เอปสันเริ่มหันมาโฟกัสกับธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามา สร้างรายได้เพื่อทดแทนตลาดคอนซูเมอร์พรินเตอร์ ที่แม้ว่าปัจจุบันจะมีสัดส่วนหลักอยู่ที่ 65% เทียบกับฝั่งของธุรกิจที่ 35% แต่ในอนาคตสัดส่วนของภาคธุรกิจมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น และเข้ามาเป็นสัดส่วนหลักให้แก่เอปสันในระยะยาว

สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเสริมไลน์อัปสินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้นของเอปสัน ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มเครื่องพิมพ์ในองค์กรธุรกิจ ที่นำจุดเด่นของเทคโนโลยีหัวพิมพ์แบบอิงค์เจ็ทเข้าไปทดแทนงานพิมพ์แบบเลเซอร์ หรือแม้แต่การขยายตลาดเครื่องพิมพ์หน้ากว้างให้ครอบคลุมมากขึ้น ไม่นับรวมกับธุรกิจโปรเจกเตอร์ที่ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างมาก และหุ่นยนต์แขนกลที่จะมาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต

จะเห็นได้ว่าปัจจุบัน สินค้าเครื่องพิมพ์ของแบรนด์ ‘เอปสัน’ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในเครื่องพิมพ์ที่เป็นอิงค์เจ็ทสำหรับใช้งานในบ้าน ตามสถานศึกษา หรือสำนักงานแล้ว แต่ขยายไปครอบคลุมในธุรกิจที่กว้างขึ้นทั้งการทำป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ หรือแม้แต่งานแฟชัน เสื้อผ้า บรรจุภัณฑ์ต่างๆ

ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดไอทีในปีนี้ถือว่าไม่แน่นอนมากๆ เพราะเป็นสถานการณ์ที่สะสมต่อเนื่องจากในปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องของรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป มีการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) กันมากขึ้น ต่อเนื่องถึงสงครามที่ยังไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด

ขณะเดียวกันสถานการณ์โลกที่เกิดการแบ่งฝั่งระหว่างชาติตะวันตก และจีน เริ่มเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะการส่งออกที่มีการชะลอตัว

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเอปสันมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลาโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดไม่แน่นอนตลาดคอนซูเมอร์ในภาพรวมติดลบ แต่เอปสันยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องและคาดว่าในปีนี้จะสามารถรักษาอัตราการเติบโตไว้ที่10%ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ได้”


คณิน ธรรมภิบาลอุดม หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด กล่าวถึงสถานการณ์ในตลาดประเทศไทยว่าจากข้อมูลต่างๆ เห็นได้ชัดว่าครัวเรือนมีหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้นกำลังในการจับจ่ายใช้สอยลดลงโดยเฉพาะจากผลตอบรับที่เห็นในช่วง2เดือนที่ผ่านมา

สอดคล้องกับข้อมูลจาก จีเอฟเค ที่พบว่าในปีที่ผ่านมา ตลาดรวมไอทีอยู่ในช่วงติดลบ โดยในกลุ่มคอมพิวเตอร์ลดลงราว 6% ในขณะที่กลุ่มของเครื่องพิมพ์เอกสาร และเครื่องมัลติฟังก์ชันจำนวนเครื่องลดลงถึง 8% แต่ในเชิงมูลค่าลดลงราว 5% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการผันผวนของค่าเงินในปีที่ผ่านมา

“แม้ว่าตลาดพรินเตอร์ในกลุ่มคอนซูเมอร์จะมีจำนวนลดลง แต่ก็ยังมีจำนวนในท้องตลาดหลัก 7 แสนเครื่อง ซึ่งในกลุ่มนี้ L-Series ที่เป็นเครื่องพิมพ์อิงค์แทงก์ของเอปสันสร้างสัดส่วนรายได้กว่า 40% ตามมาด้วยในกลุ่มเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่ และโปรเจกเตอร์ในสัดส่วนราว 10%”

อย่างไรก็ตาม ตลาดของประเทศไทยในปีนี้ ยังมีโอกาสที่จะกลับมาดีขึ้นจากปัจจัยที่เข้ามาช่วยกระตุ้นอย่างการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาช่วยกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น

***New S-Curve สร้างการเติบโต


ยรรยง กล่าวถึงแผนธุรกิจของเอปสัน ในปีนี้ว่าจะเน้นไปที่การสร้างความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ให้แก่ธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ เนื่องจากปัจจุบันในกลุ่มธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับคอนซูเมอร์ โปรเจกเตอร์ทั่วไป เครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก และเครื่องสแกนเนอร์ ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 50% แต่กลายเป็นธุรกิจที่อยู่ในช่วงติดลบ

กลับกันใน 6 กลุ่มสินค้าที่เริ่มขยายธุรกิจเข้าไปให้ความสำคัญมากขึ้นทั้งเครื่องพิมพ์หน้ากว้าง และเครื่องพิมพ์เชิงอุตสาหกรรม ที่เติบโตสูงถึง 170% ตามด้วยกลุ่มโฮมโปรเจกเตอร์เพื่อความบันเทิงภายในบ้าน เติบโต 64% โปรเจกเตอร์ความสว่างสูงสำหรับใช้งานในนิทรรศการ เติบโต 43% เครื่องพิมพ์ผ้า ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นถึง 52% เครื่องพิมพ์ภาพที่ใช้ในโฟโต้แล็ป เติบโต 29% และเครื่องพิมพ์ในสำนักงาน เติบโต 23%

ทำให้จากเดิมในปีที่ผ่านมา เอปสัน เริ่มสร้าง New S-Curve ให้ชัดเจนมากขึ้น ด้วยการนำความโดดเด่นของเทคโนโลยีที่ถนัดอย่าง Heat-Free หรือเทคโนโลยีที่สร้างความร้อนต่ำ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยตามพันธกิจของ ไซโก้ เอปสัน ที่มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้ใช้งาน โดยในปีที่ผ่านมา เอปสัน ได้ประกาศยุติการทำตลาดเลเซอร์พรินเตอร์ โดยในไทยจะสิ้นสุดในสิ้นปี 2023 นี้ ในขณะที่ทั่วโลกจะสิ้นสุดในปี 2025 โดยหลังจากยุติการจำหน่ายแล้ว ทางเอปสัน จะมีการดูแลบริการหลังการขายต่อเนื่องไปอีก 7 ปีข้างหน้า

พร้อมกันนี้ เอปสัน ได้เริ่มนำเสนอเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทความเร็วสูงในกลุ่มองค์กรธุรกิจ ที่ปรับแนวคิดตั้งแต่การออกแบบให้มีชิ้นส่วนที่ต้องดูแลรักษาน้อยที่สุด ใช้พลังงานน้อยลง และที่สำคัญคือเทคโนโลยีหัวพิมพ์แบบ PrecisionCore Heat-Free ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

จากเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์องค์กรธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเข้าไปช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 85% ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ 85% และมีชิ้นส่วนต่างๆ น้อยกว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ 59% ทำให้เชื่อมั่นว่าในระยะยาวเครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ทสำหรับภาคธุรกิจจะเข้ามาทดแทนเครื่องพิมพ์เลเซอร์ได้อย่างแน่นอน

“ที่ยุติการทำตลาดเลเซอร์พรินเตอร์ เพราะมั่นใจว่าด้วยเทคโนโลยี Heat Free เข้ามาทดแทนเครื่องพิมพ์เลเซอร์ได้ และในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกฝ่ายควรร่วมมือกัน”

นอกจากในกลุ่มของพรินเตอร์แล้ว สินค้าในกลุ่มโปรเจกเตอร์ ก็มีการนำเทคโนโลยี 3LCD Laser Light ที่ใช้งานได้นานกว่า 20,000 ชั่วโมง หรือระยะเวลา 5-7 ปี เข้ามาแทนที่เครื่องโปรเจกเตอร์แบบหลอด โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องฉายความสว่างสูงซึ่งก็จะมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย

***บุกภาคธุรกิจ เพิ่มบิสสิเนสโมเดลใหม่


การเพิ่มสินค้าในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทความเร็วสูงเข้ามาในพอร์ตสินค้ากลุ่มบิสสิเนส ได้ช่วยเปิดโอกาสให้เอปสัน สามารถเจาะเข้าไปในตลาดภาคธุรกิจมากขึ้นด้วย จากที่ปัจจุบันมีไลน์สินค้าที่ครอบคลุมมากที่สุดในตลาด ตั้งแต่กลุ่มเครื่องถ่ายเอกสารที่ใช้งานกับสำนักงานขนาดเล็ก ไปจนถึงองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่

สอดคล้องกับข้อมูลจาก ไอดีซี ที่ชี้ให้เห็นว่าไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดในภูมิภาค ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่หรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่เข้าไปช่วยเสริมการใช้งานภายในองค์กร อย่างการควบคุมปริมาณงานพิมพ์ การสั่งพิมพ์จากระยะไกล หรือการแตะบัตรพนักงานเพื่อสั่งพิมพ์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของเอกสาร

ขณะเดียวกัน เอปสัน ยังเข้าไปช่วยผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงโซลูชันงานพิมพ์ได้สะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำบิสสิเนสโมเดลอย่างการเช่าใช้ครบสัญญารับเครื่องไปใช้งาน จนถึงบริการการพิมพ์แบบจ่ายรายเดือน EasyCare ที่สามารถควบคุมต้นทุนงานพิมพ์ ไม่ต้องสต็อกหมึก คำนวนค่าใช้จ่ายจากจำนวนพิมพ์รายแผ่น

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาบริการงานพิมพ์รูปแบบใหม่ Epson iPrint AnyWhere ร่วมกับพันธมิตร ที่จะเปิดให้ผู้บริโภค หรือพนักงานในองค์กรธุรกิจ สามารถสั่งพิมพ์งานจากเครื่องพิมพ์ที่อยู่ในร้านเครือข่ายพันธมิตร รองรับพฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะของ Hybrid Workplace อย่างกรณีที่ต้องการงานเอกสารด่วน

“บริการ Epson iPrint AnyWhere คาดว่าจะเริ่มจากในมหาวิทยาลัยก่อน เพราะมีเครือข่ายพันธมิตรที่เข้าถึงได้ ก่อนขยายไปยังร้านค้าต่างๆ ที่ต้องการเข้าร่วม ที่สำคัญคือมีต้นทุนในการลงทุนต่ำ เพราะไม่ต้องตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์เพื่อรับคำสั่งงาน แต่เป็นลักษณะของการสั่งผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์ของเอปสันที่สามารถตั้งค่ากับเครื่องพิมพ์ได้ทันที”

อย่างไรก็ตาม เอปสัน ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของค่าใช้จ่ายในการพิมพ์เอกสารด่วน แต่เชื่อว่าจะสามารถให้ความคุ้มค่าแก่ผู้ใช้งานได้ พร้อมกับเป็นการสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่ร้านค้า พร้อมอำนวยความสะดวกจากระบบชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ที่ปลอดภัย หรือแม้แต่การเชื่อมโยงไปยังบัญชีกลางขององค์กรธุรกิจที่มีโควต้างานพิมพ์อยู่แล้ว

***โซลูชันเซ็นเตอร์ใหญ่สุดในภูมิภาค

พร้อมกันนี้ เพื่อรองรับการทำตลาดสินค้าในภาคธุรกิจ และการที่ประเทศไทยเป็นตลาดที่เอปสันให้ความสำคัญมากที่สุด จึงได้เตรียมลงทุนสร้างโซลูชันเซ็นเตอร์แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ บนพื้นที่ขนาด 600 ตารางเมตร ในการนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่มาจัดแสดง

ยรรยง กล่าวเสริมว่า กลุ่มสินค้าที่จะนำมาจัดแสดงในโซลูชันเซ็นเตอร์ จะเป็นกลุ่มเครื่องพิมพ์ภาพขนาดใหญ่ เครื่องพิมพ์หน้ากว้าง กลุ่มเครื่องโปรเจกเตอร์ความละเอียดสูง รวมถึงหุ่นยนต์แขนกล เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้ามาทดสอบการใช้งาน และได้เห็นรูปแบบของโซลูชันในการนำไปใช้กับแต่ละภาคธุรกิจชัดเจนมากขึ้น

เบื้องต้น เอปสัน ยังไม่สามารถเปิดเผยถึงเงินลงทุนในครั้งนี้ แต่ถ้าคำนวนจากเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในหลักล้านบาท และเมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ของโซลูชันเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน จึงมีโอกาสที่จะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งของเอปสัน

พร้อมกันนี้ อีกจุดที่เอปสันมีการปรับปรุงเพิ่มเติมคือเรื่องของบริการหลังการขาย เนื่องจากรูปแบบการจำหน่ายเครื่องพิมพ์ในปัจจุบันเป็นลักษณะของโซลูชันในการใช้งานมากขึ้น ทำให้มีการเพิ่มจำนวนทีมงานพรีเซลล์ เพื่อเข้าไปช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการที่ต้องการโซลูชันงานพิมพ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด พร้อมกับขยายเครือข่ายบริการหลังการขายของกลุ่มองค์กรเพิ่มเป็น 130 แห่งจาก 122 แห่งภายในสิ้นปีนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น