กูเกิลเผยความสำเร็จโครงการ Be Internet Awesome ฝึกทักษะดิจิทัลเยาวชน และครูเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้ปลอดภัยไป 3.4 ล้านคน หลังเริ่มงานมากว่า 3 ปี เตรียมขยายโอกาสสู่โรงเรียนทั่วประเทศผ่าน ChromeOS Flex นำคอมพ์เก่ามาใช้งานผ่านคลาวด์
แจ็คกี้ หวาง ผู้อำนวยการ กูเกิล ประเทศไทย กล่าวว่า จากภาพรวมของการค้นหาในปีที่ผ่านมา พบว่า คำค้นหาเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์นั้นเพิ่มสูงขึ้นมากเป็นลำดับต้นๆ ทำให้การผลักดันโครงการเพื่อฝึกฝนทักษะ และรู้เท่าทันโลกออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญ
“การทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนไทยทุกคนเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย โครงการ Be Internet Awesome ที่ทางกูเกิลได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน และได้รับการตอบรับที่ดีจากโรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศ”
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหลังจากเริ่มโครงการ Be Internet Awesome ทางกูเกิล ประเทศไทย ได้สนับสนุน ฝึกอบรมครู และนักเรียนไปแล้วกว่า 3.4 ล้านคนทั่วประเทศ และจากการสำรวจความคิดเห็นของครูผู้สอนยังพบถึงแนวโน้มที่ดีในการนำไปประยุกต์ใช้ต่อเนื่อง
สำหรับความคิดเห็นที่น่าสนใจจากผู้ที่เข้าร่วมโครงการ Be Internet Awesome จะมีทั้งในแง่มุมของการนำเนื้อหาไปสอนเด็กๆ เรื่องความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ช่วยให้นักเรียนมีความระมัดระวังในการใช้งานออนไลน์มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ยังช่วยให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ออนไลน์เชิงบวกมากขึ้น จากหลักสูตรในโครงการที่สามารถนำไปใช้กับการเรียนการสอนได้ง่าย เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วม และกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยสอนเรื่องความปลอดภัยออนไลน์มากกว่าเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เบื้องต้น ข้อมูลจาก สพฐ. ระบุว่า ปัจจุบันมีโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศกว่า 26,000 แห่ง มีนักเรียนทั่วประเทศกว่า 6 ล้านคน และครูกว่า 5 แสนคน ซึ่งการที่ทางกูเกิล ทำโครงการ Be Internet Awesome ที่พัฒนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรจะช่วยให้เยาวชนไทยสามารถมีภูมิคุ้มกันดิจิทัล และภัยออนไลน์ได้เพิ่มขึ้น รวมถึงช่วยส่งต่อไปยังกลุ่มผู้ปกครองด้วย
พร้อมกันนี้ กูเกิลยังได้เริ่มแผนการเปิดใช้งาน ChromeOS Flex ให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนทรัพยากร ด้วยการนำระบบปฏิบัติการไปติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโน้ตบุ๊กเก่า เพื่อเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มของกูเกิลในการเรียนรู้แทน
ข้อดีของ ChromeOS Flex คือช่วยยืดอายุการใช้งานของคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าให้ใช้งานได้สูงสุดถึง 13 ปี นานกว่าแล็ปท็อปทั่วไปในท้องตลาดราว 2-3 เท่า ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่รวดเร็ว จัดการง่าย ด้วยการทำงานบนระบบคลาวด์เป็นหลัก โดยตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีโรงเรียนนำไปใช้งานราว 500 แห่ง