xs
xsm
sm
md
lg

ไทยอ่วมพิษแรนซัมแวร์ 3.0 "แคสเปอร์สกี้" รับ XDR อัดฉีดสมรภูมิไซเบอร์ซิเคียวริตีเงินสะพัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์สัญชาติรัสเซีย เผยประเทศไทยเป็นเป้านิ่งที่ถูกโจมตีเพื่อเรียกค่าไถ่ข้อมูลมากที่สุดอันดับ 2 ในภูมิภาค พบองค์กรไทยตื่นตัวลงทุนเพิ่มเพื่อให้ระบบเก่งกว่าเดิมในวันที่แรนซัมแวร์เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น จนถูกเรียกว่า "แรนซัมแวร์ 3.0” ล่าสุดเปิดตัว "Kaspersky Extended Detection and Response” เพื่อแข่งในตลาด XDR ที่มุ่งจัดการแรนซัมแวร์ 3.0 คาด XDR คือเทรนด์ที่อัดฉีดสมรภูมิไซเบอร์ซิเคียวริตีให้มีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้น

น.ส.เบญจมาศ จูฑาพิพัฒน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย แคสเปอร์สกี้ กล่าวระหว่างการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Kaspersky Extended Detection and Response (XDR) ว่าบริษัทวางเป้าหมายขยายตัวเป็นเลข 2 หลักในปี 2566 โดยการเติบโตนี้เชื่อว่าจะมาจากธุรกิจ XDR ซึ่งจะเป็นหนึ่งในเซกเมนต์ที่เพิ่มโอกาสทำตลาดไซเบอร์ซิเคียวริตีได้ดีขึ้น เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถต่อยอดจากระบบเดิมที่องค์กรมีอยู่แล้ว บนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในระดับที่น้อยกว่าซื้อใหม่ทั้งหมด แต่สามารถสู้ภัยแรนซัมแวร์ 3.0 ที่โฉดกว่าเดิมได้ดีขึ้น

“ปีนี้การลงทุนไซเบอร์ซิเคียวริตีในไทยจะโตมากที่ภาคธนาคารและภาครัฐ ไม่แต่ในไทยแต่เป็นเทรนด์ทั่วโลก ภาครัฐจะลงทุนเพื่อปกป้องประชาชน ในฐานข้อมูลที่ใหญ่และเต็มไปด้วยข้อมูลสำคัญ ส่วนภาคธนาคารที่มีการขยายบริการเวอร์ชวลแบงก์จะขยายการลงทุนไปด้วย ทั้งหมดมีการตั้งงบล่วงหน้าอยู่แล้วและมีความจำเป็นต้องใช้ ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น”

***Ransomware 3.0 มา XDR โต

เบญจมาศ ระบุว่า องค์กรไทยมีการรับรู้ถึงความสำคัญของการป้องกันตัวมากขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่โลกรู้จักแรนซัมแวร์ชื่อดังอย่าง WannaCry จนปัจจุบันมีการพัฒนาเป็น Ransomware 3.0 ทำให้เทคนิคที่โจมตีมากขึ้น ส่งให้องค์กรต้องเผชิญความท้าทายหลายด้านมากขึ้น ทั้งด้านการมองไม่เห็น ความซับซ้อนที่มากเกินไป การรู้ตัวช้า การไล่ตามเทรนด์ใหม่ไม่ทัน และการขาดประสบการณ์ ดังนั้น บริษัทไซเบอร์ซิเคียวริตีจึงแนะนำ “XDR" แพลตฟอร์มที่จะมีโซลูชันหรือบริการเพิ่มเติม เพื่อรวบรวมข้อมูลมาตรวจจับภัยในองค์กร ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะอยู่ที่ไหน จะต้องเก็บข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์พฤติกรรม และตรวจสอบว่าเป็นภัยคุกคามหรือไม่ แล้วจึงสร้างรายงานเพื่อตอบสนองต่อภัยที่จับได้ต่อไป

เบญจมาศ จูฑาพิพัฒน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย แคสเปอร์สกี้
ในส่วน Ransomware 3.0 แคสเปอร์สกี้อธิบายว่า จากที่เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1989 จนมีแนวคิดบีบให้เหยื่อต้องจ่ายค่าไถ่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทยอยขยับเป็นบิตคอยน์ ไปจนถึงสกุลเงินดิจิทัลอื่น โดยจากเดิมที่มุ่งเรียกค่าไถ่องค์กร แรนซัมแวร์พัฒนาได้ขยับไปโจมตีคนในองค์กร เพิ่มโอกาสสร้างมูลค่าความเสียหายมากกว่าเดิมแบบทวีคูณ จาก 4 พันล้านเหรียญในยุค WannaCry อาจจะถึงระดับหมื่นล้านเหรียญในอนาตต

“วันนี้แรนซัมแวร์ไม่โฟกัสที่การเข้ารหัสล็อกข้อมูลเท่านั้น แต่จะขู่เผยข้อมูลออกไปทั่วออนไลน์ ทำให้องค์กรนั้นเสียชื่อเสียง ซึ่งถ้าองค์กรเมินเฉยต่อการหายของข้อมูล จนต้องเตือนให้จ่ายค่าไถ่บ่อยครั้ง โจรแรนซัมแวร์อาจจะถล่มให้ระบบใช้งานไม่ได้ อาจเป็นการโจมตีหนักขึ้นด้วย DDos ให้ระบบล่ม ขยายความเสียหายให้กว้างและรุนแรงขึ้น"

การสำรวจของแคสเปอร์สกี้พบว่า ผู้บริหาร 3 ใน 5 ยอมรับว่าองค์กรเคยเป็นเหยื่อแรนซัมแวร์ โดยส่วนมากยอมจ่ายค่าไถ่ (80%) สำหรับประเทศไทย องค์กรที่ตกเป็นข่าวได้รับความเสียหายจากแรนซัมแวร์นั้นครอบคลุมทั้งสายการบิน สถาบันการศึกษา ธนาคาร และโรงพยาบาล โดยในปีที่ผ่านมา แคสเปอสกี้ตรวจจับแรนซัมแวร์ในไทยได้มากกว่า 3 แสนรายการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยที่ตรวจจับได้ 82,000 รายการนั้นเป็นอันดับ 2 รองจากอันดับ 1 อย่างอินโดนีเซีย

นอกจากอินโดนีเซียที่เป็นประเทศที่โซลูชันธุรกิจของแคสเปอร์สกี้บันทึกการป้องกันเหตุการณ์การโจมตีได้สูงสุด (131,779 ครั้ง) และประเทศไทยที่อยู่อันดับ 2 (82,438 ครั้ง) ยังมีประเทศเวียดนาม (57,389 ครั้ง) ฟิลิปปินส์ (21,076 ครั้ง) มาเลเซีย (11,750 ครั้ง) และสิงคโปร์ (472 ครั้ง)


ตัวเบ้งในวงการ Ransomware 3.0 ที่ต้องจับตาคือ LockBit ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีให้โจรร้าย “เช่ามัลแวร์” มีการรับจ้างกระจายการโจมตีไปทั่วเครือข่าย โดยทำงานร่วมกับหลายกลุ่ม ทำให้ติดตามได้ยากกว่า และมีการพัฒนาเป็น LockBit 3.0 แล้ว ทั้งหมดนี้สวนทางกับการสำรวจที่พบว่าองค์กรอาเซียนเพียง 5% เท่านั้นที่พร้อมรับมือแรนซัมแวร์ โดย 94% บอกว่าถ้าเจอแรนซัมแวร์จะขอความช่วยเหลือจากคนนอก

เทรนด์ธุรกิจซิเคียวริตีในยุค Ransomware 3.0 จึงเป็นการรับเอาต์ซอร์ส หรือการรับโอนย้ายงานในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ เคยตรวจพบภัยจำนวนมากและทำงานตลอดเวลา 24 ชั่วโมง สำหรับกรณีของแคสเปอร์สกี้ การเปิดต้วแพลตฟอร์ม XDR ในชื่อ Kaspersky Extended Detection and Response นั้นจะวางจุดยืนเป็นแพลตฟอร์มที่พร้อมทำหน้าที่ในการต่อต้านภัยคุกคามแรนซัมแวร์แบบเล็งเป้าหมาย เพื่อป้องกันธุรกิจไทยในวันที่ทั่วโลกมีสถิติไฟล์ถูกจับเป็นตัวประกันทั้งสิ้นถึง 9,500 ไฟล์ต่อวัน โดยแพลตฟอร์ม Kaspersky XDR สามารถปรับรูปแบบการทำงานให้เข้ากับองค์กรได้ทุกขนาด และทำงานร่วมกับข้อมูลภัยคุกคามจากศูนย์ข้อมูล KSN (Kaspersky Security Network) ระดับโลก

ในภาพรวม แคสเปอร์สกี้เชื่อว่าการลงทุนกับระบบไซเบอร์ซิเคียวริตีจะเพิ่มขึ้นราว 17% ในช่วง 3 ปีจากนี้ ซึ่งแม้จะไม่มีการระบุตัวเลขสำหรับประเทศไทย แต่เชื่อว่าภาวะเม็ดเงินสะพัดจะเกิดขึ้นไม่ต่างกัน เนื่องจากทุกองค์กรกลัวความเสียหาย และการเพิ่มขึ้นของการโจมตี รวมถึงความเชี่ยวชาญในการโจมตี ทำให้เห็นการลงทุนต่อไปอีกไม่รู้จบ




กำลังโหลดความคิดเห็น