การเร่งเปลี่ยนไปใช้ระบบดิจิทัลได้ส่งผลให้เกิดมิติทางสังคมและเศรษฐกิจใหม่ๆ ขึ้นมา ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซอฟต์แวร์บนคลาวด์ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ และมีความคล่องตัว
รายงานจาก IDC เผยให้เห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มรายได้ทางธุรกิจผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางดิจิทัลมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงหนึ่งในสามจะสามารถสร้างรายได้มากกว่าถึง 15% จากการประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางดิจิทัลในปี 2566 โดยคิดเป็นสัดส่วนหนึ่งในหกเมื่อเทียบกับปี 2563
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบริษัทอาจหาซื้อซอฟต์แวร์ได้ง่ายกว่าที่เคย แต่นั่นไม่ได้การันตีถึงความสำเร็จของผู้ให้บริการ ดังนั้น การขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้นั้น เราจำเป็นต้องค้นหาจุดบกพร่องในการทำงานของเราให้เจอเสียก่อน โดยข้อมูลด้านล่างนี้เผยให้เห็นถึง 6 เทรนด์ธุรกิจ SaaS ประเภท B2B ที่น่าจับตามอง สำหรับกลุ่มองค์กรในภูมิภาคที่กำลองมองหาเครื่องมือที่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของการทำงานที่มีการแข่งขันสูงทั่วโลกสูง
1.เครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกันจะยังมีความสำคัญเพราะการทำงานแบบไฮบริดเป็นที่นิยมมากขึ้น
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ยังคงมีความต้องการเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกัน เนื่องจากรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดได้รับความนิยมมากขึ้น โดยการศึกษาของ Telstra พบว่า องค์กรที่เข้าร่วมการสำรวจกว่า 85% กำลังส่งเสริมให้มีการทำงานแบบไฮบริด โดย Gartner ยังคาดการณ์ว่าโมเดลการทำงาน "ยืดหยุ่นแบบไฮบริด (Hybrid-flexible)" ซึ่งเป็นการรวมความยืดหยุ่นของสถานที่ทำงานเข้ากับเครื่องมือการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์จะประสบความสำเร็จในภูมิภาคนี้ได้ หากมีการนำไปใช้และจัดการอย่างเหมาะสม ในขณะที่บริษัทในภูมิภาคต่างกำลังปรับตัวให้เข้ากับยุคหลังโควิด พวกเขาจะมองหาเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกัน และการทำงานร่วมกันโดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการสื่อสารทั้งแบบประสานเวลา (Synchronous) และไม่ประสานเวลา (Asynchronous) พร้อมทั้งช่วยให้พนักงานสามารถสลับรูปแบบการสื่อสารต่างๆ ไปมาได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าบางบริษัทได้กลับไปทำงานที่สำนักงานอย่างตัวแล้ว บริษัทเหล่านี้ยังคงเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพออนไลน์ต่อไป เพราะได้เห็นถึงประโยชน์จากช่วงที่มีการระบาดใหญ่
นอกจากเครื่องมือดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกในการสื่อสารและการทำงานร่วมกันแล้ว ยังคาดว่าเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกันจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับประสบการณ์การทำงานของพนักงานในภูมิภาค APAC เนื่องจากกลุ่มธุรกิจในภูมิภาคนี้ต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์ของพนักงานมากขึ้น โดยจะมองหาเครื่องมือในการทำงานร่วมกันที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม ประสิทธิภาพการทำงาน และความพึงพอใจโดยรวมของพนักงาน ด้วยเหตุนี้ ความต้องการเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกันจึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค APAC ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
2.ความสามารถในการทำงานร่วมกันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการบูรณาการ (Integration)
ในภูมิภาคนี้ คาดว่าคลื่นลูกใหม่ของการรวมรูปแบบการให้บริการ Software-as-a-Service (SaaS) จะมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการทำงานร่วมกันมากกว่าการบูรณาการ (Integration) เนื่องจากธุรกิจในภูมิภาคนี้กำลังมองหาการลงทุนในแพลตฟอร์มระบบคลาวด์แบบรวมศูนย์ที่รองรับบริการที่ทำงานร่วมกันได้ แพลตฟอร์มที่ช่วยให้บริษัทสามารถเลือกบริการที่ต้องการสำหรับการดำเนินงานและนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายจากคอนโซลเดียวดูจะมีความนิยมเพิ่มขึ้น ดังนั้น คุณสมบัติของ SaaS ที่ใช้โมเดลข้อมูลทั่วไปจะเป็นที่น่าสนใจสำหรับบริษัทในภูมิภาคที่ต้องการรวมโปรแกรม AI เข้ากับการดำเนินงานแบบดิจิทัลและดึงข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจอันชาญฉลาดและมีค่าออกมา
นอกจากแนวโน้มเรื่องความสามารถในการทำงานร่วมกันแล้ว ยังมีการคาดการณ์ว่าตลาด SaaS ในภูมิภาค APAC จะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากกลุ่มธุรกิจในภูมิภาคต่างหันมาใช้โซลูชัน SaaS มากกว่าเดิม ความต้องการใช้บริการดังกล่าวจึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงซึ่งส่งผลให้เกิดการควบรวมบริการในตลาดสูงขึ้น นอกจากนี้ มีแนวโน้มว่าแพลตฟอร์มที่ใช้ Low-Code/No-Code ในภูมิภาคนี้ที่มีจำนวนพุ่งสูงขึ้นจะเอื้อให้กลุ่มธุรกิจสามารถปรับแต่งโซลูชัน SaaS ของตนให้ตรงกับความต้องการเฉพาะทางได้ง่ายกว่าและผลักดันให้เกิดการเปิดรับ โดยรวมแล้ว SaaS ในภูมิภาค APAC มีแนวโน้มที่จะพัฒนาและรวมเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
3.ความสามารถด้านเทคโนโลยีเชิงลึกจะเอื้อให้มีการเปิดรับบริการคลาวด์เพิ่มขึ้น
ใน APAC บริษัทที่ต้องการยกระดับด้วยการเปลี่ยนไปใช้ระบบดิจิทัลมีแนวโน้มว่าจะทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI และบล็อกเชนในรูปแบบโซลูชันบนคลาวด์ เทคโนโลยีดังกล่าวที่ทำงานผ่านระบบคลาวด์สามารถเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางมากขึ้นและนำไปใช้ได้ง่าย ธุรกิจในภูมิภาคจึงเปิดรับและบูรณาการเข้ากับการทำงานได้ง่ายขึ้น งานวิจัยและการพัฒนาจำนวนมากในหลากสาขา เช่น Machine Learning, Computer Vision และ Natural Language Processing ได้คาดการณ์ว่าจะมีการเปลี่ยนโฉมประสบการณ์ของลูกค้าและพนักงานให้ล้ำขึ้นไปอีกขั้นด้วยแอปพลิเคชัน SaaS ที่ทันสมัย
นอกเหนือจากการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและพนักงานแล้ว ยังคาดว่าเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถช่วยให้ธุรกิจในภูมิภาค APAC มีเครื่องมือการขายที่มีประสิทธิภาพสำหรับทีมขาย เช่น การตรวจจับความผิดปกติของเทรนด์ คำแนะนำด้านประสิทธิภาพการทำงาน และระบบวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ด้วยเหตุนี้ การนำ AI และบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้ในระบบคลาวด์มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค APAC ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากมองในภาพรวมแล้ว การใช้เทคโนโลยีที่มากขึ้นคาดว่าจะช่วยผลักดันการพัฒนาโซลูชัน SaaS ขั้นสูงและซับซ้อนยิ่งขึ้นในภูมิภาค
4.การปรับให้เข้ากับท้องถิ่นเป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จในตลาดที่มีความหลากหลาย
ตลาด B2B รูปแบบใหม่สำหรับ SaaS จะยังคงปรากฏขึ้นในขณะที่ธุรกิจทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังปรับเปลี่ยนค้นหากลยุทธ์ด้านระบบคลาวด์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง ดังนั้น ผู้จำหน่าย SaaS จะต้องหาข้อเสนอให้ตรงตามความคาดหวังที่หลากหลายตามแต่ละตลาดทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การปรับผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นไม่ใช่แค่เพียงปรับเปลี่ยนให้เป็นภาษาท้องถิ่นเท่านั้น แต่ควรรวมไปถึงการปรับตัวในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และ Navigation, ความสะดวกในการใช้งาน กลยุทธ์ GTM การส่งมอบบริการ การฝึกอบรมหลังการขาย การสนับสนุนการใช้งาน และอื่นๆ
5.ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล
ผู้ให้บริการ SaaS ประเภท B2B ทุกรายจะมีชุดข้อมูลที่แตกต่างกัน 2 ชุดแต่มีคุณค่าเท่าๆ กัน ชุดหนึ่งเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เป็นความลับเกี่ยวกับองค์กรของลูกค้า และอีกชุดเป็นของลูกค้าในองค์กรลูกค้าเอง โดยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกือบทุกประเทศมีกฎหมายบังคับใช้เพื่อป้องกันทั้งข้อมูลธุรกิจและข้อมูลส่วนบุคคล ด้วยเหตุนี้ ผู้จำหน่าย SaaS จึงจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและความเป็นส่วนตัวอื่นๆ อีก เช่น การรักษาความปลอดภัยดาต้า เซ็นเตอร์ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ การรักษาความปลอดภัยของ DevOps, การสื่อสารภายใน การควบคุมการเข้าถึงพิเศษ และเทคโนโลยีเพิ่มความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ ผู้จำหน่ายยังสามารถประกาศต่อสาธารณชนได้อย่างเต็มปากว่าจะไม่มีการสร้างรายได้จากข้อมูลลูกค้าเพื่อเพิ่มรายได้ให้ตนเอง ซึ่งจะยิ่งเพิ่มมูลค่าแบรนด์และความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ใช้งานได้อีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือบริษัทข้ามชาติ การเปลี่ยนธุรกิจให้เป็นระบบดิจิทัลนั้นมีการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคย ซึ่งในสภาวการณ์เช่นนี้ ไม่ควรมีช่องว่างให้เกิดความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้กลายเป็นอุปสรรคแทนที่จะอำนวยความสะดวกให้เกิดขึ้นในธุรกิจ โดยในขณะที่ตลาด SaaS ประเภท B2B กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผู้จำหน่ายและผู้ให้บริการมี 2 ทางเลือก คือการมอบคุณค่าสูงสุดแก่ผู้ใช้ เพื่อเพิ่มอัตราการรักษาผู้ใช้และลดอัตราการเลิกใช้งาน หรือล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา ซึ่งการทำเช่นนี้จะต้องอาศัยความสามารถในการตอบสนองในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่มีการแข่งขันสูงอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง