xs
xsm
sm
md
lg

แค่คลาวด์ไม่พอ! ออราเคิลชู 6 สิ่งธุรกิจต้องทำเมื่อโลกก้าวสู่ยุคไอทีเต็มรูปแบบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ซีอีโอ ออราเคิล ประเทศไทย ร่วมไขทางออกสำหรับกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ในปัจจุบัน เปิด 6 คำทำนายธุรกิจคลาวด์เมื่อโลกก้าวสู่ยุคไอทีเต็มรูปแบบ ชี้บริการประมวลผลบนคลาวด์ระบบเดียวไม่สามารถตอบโจทย์โลกทั้งใบในวันนี้

นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น ประเทศไทย กล่าวว่ากระแสการใช้คลาวด์ที่แพร่หลายไม่ใช่เรื่องใหม่ในวันนี้ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ องค์กรทุกประเภทต่างตระหนักแล้วว่าไม่มีผู้ให้บริการคลาวด์ “สำเร็จรูป” รายใดที่จะสามารถทำงานได้ทั้งหมดแบบเบ็ดเสร็จ เพราะธุรกิจต่างๆ ต้องการระบบคลาวด์ที่ดีที่สุดซึ่งเหมาะกับภาระงานหลักของบริษัทที่แตกต่างกัน ด้วยฐานะผู้ให้บริการโซลูชันชั้นนำสำหรับวิสาหกิจ ออราเคิลจึงตระหนักถึงเทรนด์การใช้งานมัลติคลาวด์มาโดยตลอด ทำให้บริษัทมุ่งผสานโซลูชันของออราเคิลเข้ากับระบบคลาวด์ของพันธมิตรหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Azure เพื่อให้ลูกค้าไมโครซอฟท์สามารถเข้าถึงการทำงานในระบบฐานข้อมูลบน Oracle Cloud Infrastructure โดยตรงภายใต้มาตรฐานเดียวกัน หรือแม้แต่การเปิดให้ใช้งาน Oracle MySQL HeatWave บนแพลตฟอร์ม Amazon Web Services (AWS)

"เมื่อไม่นานมานี้ ออราเคิลยังคงขยายความร่วมมือไปสู่พันธมิตรไอทีรายอื่นๆ โดยจะเริ่มจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรายใหญ่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก เพื่อมอบความสะดวกในการทำงานและการประมวลผลผ่านคลาวด์ที่รวดเร็วแก่ลูกค้าของทุกฝ่าย และแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่าออราเคิลคือผู้ให้บริการคลาวด์และโซลูชันแบบครบวงจร ที่มุ่งมั่นมอบความสะดวกสบายและการทำงานข้ามระบบที่ไร้พรมแดนอย่างแท้จริง"

ทวีศักดิ์ แสงทอง
ออราเคิล ยกตัวอย่างถ้าคลาวด์ระบบ A เหมาะที่สุดสำหรับการรันแอปบนเดสก์ท็อป และคลาวด์ระบบ B ทำได้ดีเยี่ยมบนฐานข้อมูลของเซิร์ฟเวอร์ นั่นก็คือต้องเลือกคลาวด์ A และ B ตามรูปแบบงานนั้น ทำให้การก้าวเข้าสู่ปี 2023 บริษัทส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการใช้แค่คลาวด์สาธารณะเท่านั้น แต่ยังต้องการทางเลือกที่เอื้อต่อการพัฒนาด้านอื่นๆ เพื่อให้สามารถจัดการภาระงานบางอย่างได้บนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ของบริษัทตัวเอง

หนึ่งในคำทำนายของออราเคิล คือ ธุรกิจบริการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud Computing) ที่มีขนาดใหญ่ในปัจจุบันจะมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเดือนเมษายนของ Gartner ประเมินว่าค่าใช้จ่ายสำหรับบริการคลาวด์สาธารณะของไทยในปี 2023 จะสูงขึ้น 31.8% โดยสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 20.7%

***6 เทรนด์รออยู่

ออราเคิล มองว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวันนี้คือองค์กรต้องการทางเลือกอื่น โดยแม้จะไม่ใช่ผู้ให้บริการ แต่ก็จะกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนและบริหารจัดการระบบคลาวด์ได้ด้วยตัวเอง คำทำนายแรกจาก 6 ข้อจึงเป็นระบบมัลติคลาวด์ที่จะถูกใช้งานเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากบริษัทต่างๆ จะใช้ระบบคลาวด์สาธารณะที่เหมาะสมภาระงานหลักมากที่สุด และการใช้งานจะเพิ่มสูงขึ้นตลอดทศวรรษข้างหน้า

"แม้แต่อุตสาหกรรมที่อยู่มาอย่างยาวนานซึ่งมักหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เช่น บริการทางการเงิน ก็ยังนำคลาวด์มาใช้มากกว่าหนึ่งระบบ ซึ่งในความเป็นจริงนั้น สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ทุกแห่งในวันนี้ล้วนใช้คลาวด์มากกว่าหนึ่งระบบสำหรับการรันแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐาน และนั่นทำให้ความจำเป็นในการใช้คลาวด์หลายระบบ (มัลติคลาวด์) เพิ่มสูงขึ้น" ออราเคิลระบุ "ผู้ให้บริการคลาวด์บางรายสนับสนุนเทรนด์นี้ด้วยการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกของระบบคลาวด์ไว้บริเวณใกล้เคียงกันเพื่อลดความหน่วงสัญญาณให้น้อยที่สุด ซึ่งช่วยรับประกันว่าลูกค้าที่ใช้บริการจากผู้ให้บริการทั้ง 2 รายจะได้ประสิทธิภาพด้านเวลาสัญญาณตอบสนอง (Response Time) ที่รวดเร็ว"

ออราเคิลสรุปว่า 2 สาระสำคัญในหัวข้อนี้ คือองค์กรต้องการคลาวด์มากกว่าหนึ่งระบบ และผู้ให้บริการคลาวด์ต้องสร้างการเชื่อมต่อ (Bridge) ไม่ใช่กำแพงปิดกั้นบริการอื่นๆ เพื่อหวังลดการใช้งานคลาวด์หลายระบบ

"ลูกค้าต้องการให้บรรดาผู้ให้บริการคลาวด์ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อมอบบริการที่ดีร่วมกันในฐานะผู้ให้บริการมืออาชีพ โดยลูกค้าควรสอบถามข้อมูลกับผู้ให้บริการคลาวด์ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันหรือที่คิดจะใช้ในอนาคตให้ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ให้บริการรายนั้นจะช่วยอำนวยความสะดวก ไม่ใช่ปิดกั้นการใช้คลาวด์หลายระบบ"

2.ภาคธุรกิจต้องการทางเลือกเพื่อการพัฒนา ออราเคิลมองว่าการใช้งานสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า “ไฮบริด” และเรียกว่าคลาวด์ “แบบกระจายศูนย์ (Distributed)” ในวันนี้ กำลังเป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก โดยในโมเดลคลาวด์แบบกระจายศูนย์ บริษัทจะจัดการภาระงานบางอย่างบนคลาวด์สาธารณะภายนอกและจัดการระบบในศูนย์ข้อมูลที่ควบคุมโดยบริษัท ซึ่งโดยทั่วไปจะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องตามกฎระเบียบ กฎหมาย เหตุผลด้านประสิทธิภาพ หรือด้านอื่นๆ


การใช้งานแบบผสมนี้ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับบริษัทที่ต้องเก็บรักษาข้อมูลขององค์กรหรือของลูกค้า แต่ยังจำเป็นต้องนำข้อมูลมา “ระเบิดออก” เพื่อทำการวิเคราะห์หรือจัดการภาระงานที่ต้องใช้ทรัพยากรมากในการอัปโหลดไปเก็บไว้ในคลาวด์สาธารณะ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากเนื่องจากองค์กรต้องชั่งน้ำหนักอย่างรอบคอบระหว่างการใช้เทคโนโลยีภายในองค์กร โครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ส่วนบุคคล และระบบคลาวด์สาธารณะ

ดังนั้น แม้ว่างานบางอย่างจะดำเนินการ “ในสถานที่ปฏิบัติงาน” กลับไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับระบบคลาวด์ โดยแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ผู้ให้บริการบางรายกำลังนำเสนอบริการที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถรันงานบางอย่างได้ทั้งในสถานที่ปฏิบัติงานและในคลาวด์สาธารณะผ่านกระแสข้อมูลที่ทำงานง่ายและไม่ต้องจ่ายแพง ซึ่งเมื่อลูกค้าใช้บริการคลาวด์ภายในสถานที่ปฏิบัติงานก็จะได้ประโยชน์จากต้นทุนแบบใช้เท่าไหร่จ่ายเท่านั้น

ศูนย์วิจัย NRI ได้จัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เฉพาะด้านสำหรับ Oracle Cloud Infrastructure (OCI) แห่งที่ 2 ในศูนย์ข้อมูลของตัวเองที่โอซากาเมื่อต้นปีที่แล้ว หลังจากประสบความสำเร็จจากการใช้งานแห่งแรกที่ศูนย์ข้อมูลโตเกียว ซึ่งเมื่อรัน OCI แล้ว ระบบคลาวด์แบบกระจายศูนย์ภายในศูนย์ข้อมูลของ NRI ทั้งที่โตเกียวและโอซากาก็สามารถยกระดับประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการใช้ทรัพยากรของ OCI ได้อย่างดีเยี่ยม โดยยังสามารถรักษาธรรมาภิบาลทางการเงินขั้นสูงและการเรียกใช้งานได้ทุกเวลาที่ต้องการ

"ตอนนี้ไม่ควรมีใครสงสัยแล้วว่ามัลติคลาวด์และการใช้งานไฮบริดควรเปิดใช้ฟรีสำหรับทุกคน ซึ่งจะเป็นการเปิดทางสู่ยุคการประมวลผลบนคลาวด์ หากย้อนไปในอดีต แผนกต่างๆ หรือแม้แต่ในระดับคนทำงานในบริษัทต่างจำเป็นต้องเริ่มใช้บริการคลาวด์ โดยมักไม่ได้รับอนุญาตหรือแม้แต่ความรู้ด้านไอที แต่ในวันนี้การใช้งานคลาวด์แบบกระจายศูนย์จำเป็นต้องได้รับการวางแผนอย่างรัดกุม เพื่อรองรับความสามารถในการทำงานร่วมกันและการตรวจสอบธรรมาภิบาลที่ดีได้ตั้งแต่ในขั้นตอนแรก" ออราเคิลระบุ "สาระสำคัญก็คือผู้ให้บริการคลาวด์ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งภาคธุรกิจและหน่วยงานรัฐบาลในจุดที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่ผลักไสภาระการรันข้อมูลและแอปพลิเคชันทั้งหมดให้ไปตกอยู่บนคลาวด์ระบบเดียวของผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง"

3.ทุกคนต้องการอธิปไตยในระบบคลาวด์ที่มั่นคง เนื่องจากข้อดีของคลาวด์สมัยใหม่คือมีรูปแบบและขนาดที่หลากหลาย เนื่องจากประเทศและภูมิภาคต่างๆ ทุกวันนี้ล้วนต้องการคลาวด์ในรูปแบบของตัวเอง หลายประเทศมีกฎระเบียบด้านอธิปไตยของข้อมูลที่กำกับว่าข้อมูลต้องถูกเก็บและประมวลผลภายในประเทศ โดยต้องไม่ถูกส่งไปสหรัฐอเมริกา หรือเมืองที่อยู่นอกพรมแดน ทำให้โมเดลการใช้ศูนย์ข้อมูลคลาวด์เชิงเดี่ยวเพื่อให้บริการหลายประเทศในหนึ่งภูมิภาคแบบเดิมกลายเป็นเรื่องล้าหลังไปแล้ว


ดังนั้น ภาคธุรกิจต้องตระหนักว่าการไม่ปฏิบัติตามกฎอธิปไตยของข้อมูลอาจนำไปสู่การเสียเงินค่าปรับอย่างมหาศาล ซึ่งอาจสูงหลายร้อยล้านดอลลาร์ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความเสียหายต่อแบรนด์ที่ประเมินค่าไม่ได้ สำหรับประเทศและท้องถิ่นต่างๆ ที่ต้องเก็บข้อมูลในพื้นที่เฉพาะ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบคลาวด์ที่ตนเลือกใช้สอดคล้องกับข้อกำหนดดังกล่าว แท้จริงแล้วผู้ให้บริการคลาวด์ Gen 1 บางรายก็ยังไม่เคยทำสิ่งใดมากไปกว่าออกข่าวประชาสัมพันธ์แสดงความตั้งใจที่จะให้บริการคลาวด์ที่มั่นคงปลอดภัยเท่านั้น

4.องค์กรจะใช้ HCM บนคลาวด์เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนทางธุรกิจ เพราะทศวรรษที่ 2020 ทำให้เห็นถึงความซับซ้อนในการบริหารงานบุคคล เมื่อบริษัทต่างๆ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่จนต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบการทำงานนอกสถานที่และยังประสบกับช่องว่างด้านทักษะจาก “การลาออกครั้งใหญ่” โดยหลายแห่งต้องมีการเลิกจ้างและการปรับสถานะพนักงานเนื่องจากเศรษฐกิจที่ผันผวน ปัจจัยเหล่านี้รวมถึงความจำเป็นในการฝึกอบรมทักษะที่ต้องรวดเร็วขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด ล้วนเป็นความท้าทายที่ระบบการบริหารทุนมนุษย์ (HCM) บนคลาวด์สามารถช่วยชี้นำทิศทางการทำงานของบริษัทได้

ออราเคิลเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นในทุกอุตสาหกรรม ทั้งเฮลธ์แคร์ บริการโรงแรมที่พัก ธุรกิจค้าปลีก และอุตสาหกรรมอื่นๆ ล้วนต้องว่าจ้าง จัดตารางเวลา บริหารจัดการ และจ่ายเงินให้พนักงานพาร์ตไทม์หรือพนักงานสัญญาจ้างจำนวนมาก ซึ่งพนักงานจำนวนมากในภาคธุรกิจดังกล่าวไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ แม้ว่าพวกเขาไม่ต้องอยู่ที่โต๊ะทำงานหรือต้องปฏิบัติงานในสถานที่เฉพาะเจาะจง อย่างเช่นพยาบาลซึ่งไม่ต้องนั่งทำงานที่โต๊ะ แต่ต้องเดินไปมาระหว่างห้องตรวจภายในโรงพยาบาล เป็นต้น โดยระบบ HCM บนคลาวด์สมัยใหม่และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องจะช่วยบริหารจัดการและสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานแบบ “ไร้โต๊ะทำงาน” เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมที่สุด

สำหรับประเทศไทย หนึ่งในองค์กรที่ได้ประโยชน์จากการใช้ HCM คือ‎ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้เลือกใช้ Oracle Fusion Cloud Human Capital Management (HCM) เพื่อส่งเสริมการทำงานระบบดิจิทัลด้วยการยกระดับประสบการณ์บุคลากรให้ดียิ่งขึ้น และด้วยการสนับสนุนของ Oracle Cloud HCM ทำให้ ธปท. สามารถลดขั้นตอนการทำงานด้วยมนุษย์และช่วยให้ระบบงานดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น


5.บริษัทจะทำให้การเข้าถึงและการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นประชาธิปไตย เหตุผลคือทุกธุรกิจล้วนเกี่ยวข้องกับข้อมูล ทั้งข้อมูลการขายผลิตภัณฑ์ การจัดจำหน่าย สินค้าคงคลัง การผลิต ตลอดจนการดำเนินงานทั้งหมดของบริษัท แต่ข้อมูลที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งานก็จะไม่มีประโยชน์ ปัญหาคือการทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ดังนั้น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง (ML) จึงถูกติดตั้งอยู่ในระบบขององค์กรเพื่อวางพื้นฐานในการทำให้ข้อมูลเป็นประชาธิปไตย

ในการสนับสนุนเรื่องนี้ บริษัทจำเป็นต้องนำเอา “การวิเคราะห์เสริม (Augmented analytics)” มาใช้เพื่อทำให้ข้อมูลเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายสำหรับ “คนธรรมดา” อย่างนักธุรกิจ เพราะการเข้าใจในการสร้างและการทดสอบโมเดลธุรกิจต้องไม่จำกัดเฉพาะแค่ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเรื่องสำคัญ เหตุผลหนึ่งคือนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลหาตัวยากและมีค่าแรงสูง อีกเหตุผลคือ พวกเขามักมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทน้อยกว่าผู้จัดการในสายงานจริง

แบรด ชิมมิน หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Omdia ชี้ว่าสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการผลักดันวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่ ‘เป็นประชาธิปไตย’ ที่ทุกคนเข้าถึงได้คือ การไม่ได้ให้ประโยชน์เฉพาะกับผู้คนจำนวนมากที่ซึ่งก็คือผู้ใช้งานทางธุรกิจโดยเฉลี่ยของใครเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ ML สามารถไหลเวียนไปทั่วองค์กร เพื่อให้บุคคลที่ต้องการใช้งานสามารถหยิบขึ้นมาใช้ได้ทันทีในเวลาที่เหมาะสม เพื่อทำงานบางอย่างให้เสร็จลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว


สุดท้าย 6.ธุรกิจต้องเป็นผู้นำด้านบรรษัทภิบาล เนื่องจากเมื่อเกิดความวิตกกังวลด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคจึงต้องการทราบว่าผลิตภัณฑ์และบริการมีแหล่งที่มา วิธีการผลิตและการจัดส่งอย่างไร โดยผู้คนจำนวนมากขึ้นต้องการทำธุรกิจกับบริษัทที่มีค่านิยมด้านสังคมและบรรษัทภิบาล (ESG) ที่เข้มแข็ง บริษัทที่ชาญฉลาดจึงต้องพบกับความท้าทายด้วยการต้องลงมือทำจริง ไม่ใช่แค่การพูดปากเปล่า โดยในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก (APEC Summit) เมื่อเร็วๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความยั่งยืนและขอความร่วมมือทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐบาลในการรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

"สิ่งสำคัญคือเราต้องตระหนักว่าไม่มีบริษัทใดที่ทำงานได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ละแห่งต้องทำงานร่วมกับซัปพลายเออร์และพันธมิตรอื่นๆ เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพและจริยธรรม" ออราเคิลอธิบาย "นอกจากประโยชน์ต่างๆ แล้ว การย้ายการทำงานส่วนใหญ่ใช้การประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud Computing) ก็สามารถช่วยเยียวยาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกได้ โดย IDC ประเมินว่าการนำระบบคลาวด์มาใช้ในวงกว้างสามารถป้องกันการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 1 พันล้านเมตริกตันระหว่างปี 2021 ถึง 2024"

ออราเคิลทิ้งท้ายว่า แม้ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือความท้าทายที่ต้องเผชิญ แต่รางวัลที่จะได้รับก็คือบริษัทที่ปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินการอื่นๆ ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่กล่าวมาข้างต้น สามารถกล่าวอ้างได้ว่าบริษัทช่วยลดผลกระทบเชิงลบต่อโลกให้เหลือน้อยที่สุดได้อย่างแท้จริง และเสริมสร้างชื่อเสียงให้แบรนด์ของแต่ละคน ซึ่งผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมจะสังเกตเห็นสิ่งนี้ได้แน่นอน

"กล่าวโดยสรุป เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 2020 ผู้ซื้อบริการคลาวด์ต้องการเทคโนโลยีที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถจัดการต้นทุน เพิ่มรายได้ และพวกเขาต้องการทางเลือกในการใช้งานเทคโนโลยีนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญกับผู้ให้บริการคลาวด์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก ไม่ใช่คอยขัดขวางเมื่อพวกเขาต้องการสะสางภาระงานบนคลาวด์"
กำลังโหลดความคิดเห็น