ไปรษณีย์ไทยปฏิวัติวงการขนส่งในรอบ 40 ปี ด้วยการเปิดตัวระบบ Digital Post ID ใช้งานแทนระบบระบุตำแหน่งที่อยู่เดิม ให้ประชาชนได้เริ่มต้นใช้งานช่วงกลางปี 2566
นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ทางไปรษณีย์ไทยได้ปรับเปลี่ยนการใช้ระบบการระบุข้อมูลตำแหน่งที่อยู่เดิมให้เป็นที่อยู่ดิจิทัล หรือดิจิทัลโพสต์ไอดี (Digital Post ID) โดยต่อยอดจากการใช้รหัสไปรษณีย์ 5 หลัก ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการส่งไปรษณีย์ในประเทศไทยที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 มาแปลงเป็นพิกัดที่ตั้งบนพื้นผิวโลกในประเทศไทย ด้วยหลักการทำงานเดียวกับระบบค้นหาตำแหน่งบนพื้นผิวโลก (GPS) ทำให้การระบุตำแหน่งที่อยู่สามารถทำได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยบนอาคารสูง
ทั้งนี้ การใช้งานระบบดิจิทัลโพสต์ไอดีจะใช้งานควบคู่กับการเขียนที่อยู่ตามระบบเดิมเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ใช้งานซึ่งคาดว่าผู้ใช้บริการจะได้ใช้งานระบบดังกล่าวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 2566 โดยไปรษณีย์ไทยจะเปิดให้ผู้ที่สนใจใช้ระบบดิจิทัล โพสต์ไอดี ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบเพื่อใช้บริการก่อน สำหรับต้นทุนการพัฒนาระบบดิจิทัลโพสต์ไอดีอยู่ที่ประมาณหลัก 100 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจำนวนหนึ่งจากกองทุนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบดังกล่าว เป็นการเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล
ในส่วนความปลอดภัยของข้อมูลผู้รับในการอ่านคิวอาร์โค้ดแทนการเขียนที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์บนหน้าซองจดหมายหรือกล่องพัสดุ นายดนันท์ ระบุว่า ‘คิวอาร์โค้ดที่แปะอยู่บนกล่องในช่องที่อยู่ผู้รับ เป็นคิวอาร์โค้ดที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว และบุคคลอื่นไม่สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดดังกล่าวได้ นอกจากแอปพลิเคชันอ่านคิวอาร์โค้ดบนอุปกรณ์เฉพาะของบุรุษไปรษณีย์เท่านั้น ซึ่งจะมีความปลอดภัยและสามารถป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้รั่วไหล ตามหลักการของพระราชบัญญัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562’
นอกจากนี้ ดิจิทัลโพสต์ไอดีไม่เพียงแค่สร้างประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์หรือการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระบบไปสู่ภาคส่วนและกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย เช่น การพัฒนาเส้นทางขนส่ง การรองรับระบบการขนส่งในอนาคตที่ไม่ใช้คนขับ การป้องกันการปลอมแปลงตัวตน รวมถึงภาคเอกชนสามารถเข้าใช้งานระบบดังกล่าวได้ผ่านการเชื่อมโยงระบบ API ที่ทางไปรษณีย์ไทยมีความตั้งใจที่จะพัฒนาระบบดังกล่าวให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและได้มีการหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานกำกับดูแล มาร่วมให้ความเห็นและขับเคลื่อนให้ประสบความสำเร็จ เพื่อให้หน่วยงานทุกภาคส่วนได้นำระบบดังกล่าวมาใช้ร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
