xs
xsm
sm
md
lg

Vertiv เตือนปี 66 อัตราการใช้พลังงานอุตสาหกรรมดาต้า เซ็นเตอร์ ทะลุขีดจำกัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เวอร์ทีฟ (Vertiv) เผยอัตราการใช้พลังงานและประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมดาต้า เซ็นเตอร์จะพุ่งทะลุขีดจำกัดเมื่อเข้าสู่ปี 2566 ระบุเทรนด์เรื่องการจัดการปริมาณการใช้เชื้อเพลิงและคาร์บอนฟุตปรินต์จะกลายมาเป็นกฎระเบียบ มาตรฐาน รวมถึงการสรรหาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าทางเลือกใหม่อีกด้วย

นายจิออร์นาโด อัลเบอร์ตาซี (Giordano Albertazzi) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและประธานเวอร์ทีฟแห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า อุตสาหกรรมดาต้า เซ็นเตอร์กำลังเติบโตอย่างฉับพลัน เนื่องจากแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาลต้องการการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูล โดยต้องเร่งใช้พลังงานและน้ำในดาต้า เซ็นเตอร์ปริมาณมากกว่าเดิม ภาคอุตสาหกรรมต่างเข้าใจดีว่าการใช้พลังงานและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จและทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในอนาคต 

"ดังนั้น การมีกฎระเบียบเพิ่มขึ้นจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมอันสำคัญทั่วทั้งอุตสาหกรรม กระบวนการนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายหรือทำควบคู่กันไปได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากพันธมิตรที่ให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงนวัตกรรมด้านโซลูชันใหม่ๆ ที่สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงได้ พร้อมทั้งยังต้องตอบสนองความต้องการใช้แอปพลิเคชันดาต้า เซ็นเตอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย"


เวอร์ทีฟ ถือเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญและโซลูชันด้านความต่อเนื่อง การศึกษาพบว่าในปี 2566 จะมีการเพิ่มกฎระเบียบและการกำกับดูแลบุคคลที่สามสำหรับการใช้งานดาต้า เซ็นเตอร์ เนื่องจากโลกกำลังเผชิญกับปัญหาการใช้พลังงานและน้ำในอุตสาหกรรมดาต้า เซ็นเตอร์มากกว่าเดิม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านดาต้า เซ็นเตอร์ระดับโลกของเวอร์ทีฟได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของดาต้า เซ็นเตอร์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่วงการอุตสาหกรรมกำลังให้ความสนใจกันอย่างมาก ซึ่งถือเป็นเทรนด์หนึ่งจากทั้งหมด 5 เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2566 

การศึกษาพบว่า ความก้าวหน้าในการออกแบบและการผลิตชิปที่ช่วยจำกัดการใช้พลังงานของเซิร์ฟเวอร์ในทศวรรษแรกของยุคมิลเลนเนียม จนมาถึงราวช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้พัฒนามาถึงขีดจำกัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประกอบกับมีปริมาณการใช้พลังงานของเซิร์ฟเวอร์ที่พุ่งสูงขึ้น ในรายงานล่าสุด Silicon heatwave : The looming change in data center climates ของสถาบัน Uptime Institute ได้อ้างถึงข้อมูลจาก Standard Performance Evaluation Corporation (SPEC) โดยระบุว่า การใช้พลังงานของเซิร์ฟเวอร์เพิ่มขึ้นสูงถึง 266% ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา 


การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคนิคและแรงขับทางการตลาดหลากรูปแบบที่ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจต้องตระหนักรู้ถึงประเด็นความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในปี 2566 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญของเวอร์ทีฟได้อธิบายไว้หลายประเด็นดังต่อไปนี้

ในอีกด้าน แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในด้านพลังงานและน้ำกำลังบีบบังคับให้ทางการต้องพิจารณาเรื่องการใช้ดาต้า เซ็นเตอร์ให้ละเอียดยิ่งขึ้น และการใช้ทรัพยากรในปริมาณที่มากเกินปกติ มีการคาดการณ์ว่าดาต้า เซ็นเตอร์จะใช้ไฟฟ้าสูงถึง 3% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกในปัจจุบัน และคาดว่าจะแตะ 4% ภายในปี 2573 โรงงานระดับไฮเปอร์สเกลโดยเฉลี่ยใช้ไฟฟ้า 20-50 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งในทางทฤษฎีจะมีไฟฟ้าเพียงพอสำหรับจ่ายไฟให้บ้านเรือนได้ถึง 37,000 หลัง ผู้เชี่ยวชาญของเวอร์ทีฟคาดว่าทางการจะเร่งพิจารณาในประเด็นปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนในปี 2566


 
นอกจากนี้ บางเมืองยังได้ใช้มาตรการบางอย่างไปบ้างแล้ว ดังเช่นที่ดับลิน ไอร์แลนด์ และสิงคโปร์ได้เริ่มใช้มาตรการควบคุมการใช้พลังงาน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการใช้น้ำปริมาณมหาศาลของดาต้า เซ็นเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดภัยแล้ง อาจทำให้เกิดการดำเนินการตรวจสอบจากทางรัฐในรูปแบบเดียวกัน จากข้อมูลของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประสิทธิภาพการใช้น้ำ (WUE) ของดาต้า เซ็นเตอร์โดยเฉลี่ยที่ใช้ระบบทำความเย็นแบบระเหยคือ 1.8 ลิตรต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ดาต้า เซ็นเตอร์ประเภทนี้ใช้น้ำ 3-5 ล้านแกลลอนต่อวัน ซึ่งใกล้เคียงกับความจุที่ใช้ในเมืองที่มีประชากร 30,000-50,000 คน อุตสาหกรรมนี้จะยังคงดำเนินการตรวจสอบตนเองต่อไป ซึ่งรวมถึงการมุ่งออกแบบระบบระบายความร้อนให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ถึงกระนั้นในปี 2566 จะมีการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบที่เพิ่มมากขึ้นอยู่ดี

นอกจากนี้ การสำรวจของ Omdia ยังพบว่า 99% ของผู้ให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์สำหรับองค์กรกล่าวว่า การออกแบบดาต้า เซ็นเตอร์สำเร็จรูปแบบแยกส่วนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สำหรับดาต้า เซ็นเตอร์ในอนาคต ซึ่งเป็นมากกว่าแค่เทรนด์และจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นนิว นอร์มอลในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญของเวอร์ทีฟคาดว่าในปี พ.ศ.2566 จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันในกลุ่มธุรกิจไฮเปอร์สเกลอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกลุ่มธุรกิจต้องการความเร็วและประสิทธิภาพที่ได้มาตรฐาน

"นับเป็นแนวคิดใหม่ยิ่งกว่าสำหรับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชั้นนำของโลกซึ่งกำลังหันไปหาผู้ให้บริการโคโลเกชันที่กำลังสร้างมาตรฐานมานานนับปีเพื่อทำให้แนวคิดเป็นจริง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ได้จ้างให้ผู้บริการโคโลเกชันเป็นผู้ดูแลโครงสร้างใหม่ๆ เพื่อยกระดับความเชี่ยวชาญในตลาด ความสามารถในการทำซ้ำที่พิสูจน์ได้ และความเร็วในการประยุกต์ใช้ กล่าวสั้นๆ ให้เห็นภาพก็คือ การกำหนดมาตรฐานตั้งแต่เรื่องชิ้นส่วนโมดูลาร์ เช่น โมดูลพลังงานและความเย็น และสกิด (Skid) ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสำเร็จรูปที่ครบครัน จะกลายเป็นแนวทางที่เป็นมาตรฐาน ไม่เพียงแต่สำหรับองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไฮเปอร์สเกลและเอดจ์ของเครือข่ายด้วย" รายงานระบุ


เวอร์ทีฟอธิบายว่า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลเป็นอุปกรณ์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้ในระบบนิเวศของดาต้า เซ็นเตอร์ไม่ได้ และยังเก็บพลังงานไว้ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ อีกทั้งยังต้องบำรุงรักษาและต้องเปลี่ยนเชื้อเพลิงหลังจากไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อนำไปใช้งาน เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดมากที่สุดอีกด้วย บางองค์กรจึงหันไปใช้แบตเตอรี่เพื่อรองรับการโหลดที่ยาวนานขึ้น ในบางกรณีอาจนานถึง 5 นาที หรือไม่ก็ออกแบบดาต้า เซ็นเตอร์ที่มาพร้อมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่มีความจุน้อยที่สุดอีกด้วย

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านเพื่อลดบทบาทของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยอุตสาหกรรมยังได้ค้นหาตัวเลือกอื่นๆ เช่นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ควบคู่ไปด้วยเพื่อเพิ่มพลังงานสำรอง ผู้เชี่ยวชาญของเวอร์ทีฟคาดว่าในปี พ.ศ.2566 จะมีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในตอนแรก โดยให้การสนับสนุนโหลดได้ช่วงขณะหนึ่ง มากกว่านั้น ยังส่งผลให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความยั่งยืนและเกิดความความต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ความหนาแน่นของแร็คในช่วงก่อนหน้านี้หลายปียังอยู่ในระดับค่อนข้างคงที่ แต่ ณ ขณะนี้ผู้ให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์จำนวนมากขึ้นต่างต้องการแร็คที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น จากการสำรวจ Global Data Center ปี 2565 ของ Uptime Institute พบว่าผู้ให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์จำนวนมากกว่าหนึ่งในสามกล่าวว่า แร็คมีความหนาแน่นขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่และดาต้า เซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกล ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของอุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานขนาด 10MW ขึ้นไปใช้แร็คขนาดสูงกว่า 20kW รวมถึงอีก 20% อ้างว่าใช้แร็คขนาดสูงกว่า 40kW


พร้อมกันนี้ เทคโนโลยีเซิร์ฟเวอร์ระบายความร้อนด้วยของเหลวได้พัฒนามาถึงขีดสุด รวมถึงมีการยอมรับและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมากขึ้น โดยตอนนี้มีการใช้พลังงานของเซิร์ฟเวอร์เพิ่มขึ้นเนื่องจากกลุ่มธุรกิจต้องการเพิ่มความจุให้แก่เซิร์ฟเวอร์มากขึ้นอย่างรวดเร็ว นับเป็นความท้าทายในทุกด้านสำหรับผู้ให้บริการ แม้จะมีทางเลือกน้อยแต่ก็เป็นโอกาสที่จะได้หันกลับมามองอุปกรณ์ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะลองเพิ่มอุปกรณ์คอมพิวติ้งในพื้นที่แคบ เพิ่มความหนาแน่นของแร็ค หรือสร้างโปรไฟล์การระบายความร้อนที่ใช้การระบายความร้อนด้วยของเหลว แม้ว่าการระบายความร้อนด้วยของเหลวจะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ แต่ช่วงแรกของการประยุกต์ใช้ก็ประสบความสำเร็จ มีประสิทธิภาพ และปราศจากปัญหาในสภาพแวดล้อมที่มีความหนาแน่นสูง ได้พิสูจน์แนวคิดให้เห็นแล้วว่าจะสามารถนำไปใช้ได้ในปีหน้า นอกจากนี้ การที่เพิ่มการระบายความร้อนแบบ Direct-to-ship ในมาตรฐาน OCP และ Open19 ใหม่จะเป็นหนทางเดียวที่ช่วยเร่งให้เกิดเทรนด์นี้

จากข้อมูลของ Omdia ใน 2565 Mobile Subscription and Revenue Forecast ระบุว่า จำนวนผู้ใช้บริการมือถือจำนวนเกือบครึ่งหรือมากกว่า 5.8 พันล้านรายจะใช้บริการ 5G ภายในปี 2570 จะทำให้เทคโนโลยีคอมพิวติ้งยิ่งเข้าใกล้ผู้ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ โดย Metaverse เป็นแอปพลิเคชันที่ต้องใช้เครือข่ายคอมพิวติ้งที่มีความหนาแน่นสูงเป็นพิเศษและมีความหน่วงต่ำ ในปี 2566 เราจะได้เห็นทั้ง 2 อย่างนี้ทำงานร่วมกัน โดยการใช้งาน Metaverse จะใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 5G เพื่อให้สามารถใช้คุณสมบัติที่มีความหน่วงต่ำเป็นพิเศษตามที่แอปพลิเคชันต้องการใช้ 

"ท้ายที่สุดก็ต้องใช้คอมพิวติ้งพลังแรงมากกว่าเดิมในพื้นที่ที่ใช้เอดจ์ 5G และเราจะได้เห็นว่ามันจะเกิดขึ้นในไม่ช้า คงจะได้เห็นการลองใช้สิ่งใหม่ๆ ก่อนในช่วงต้นปี 2566 ตามด้วยการใช้งานที่แพร่หลายมากขึ้นในปีต่อๆ ไป และจากการรายงานของ IDC เมื่อเอดจ์ของเครือข่ายมีความซับซ้อนมากขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต้องสามารถรองรับได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ระบบบริหารจัดการและวางแผนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยี Virtual Reality รวมถึงการนำเครื่องสำรองไฟลิเธียมไอออนมาใช้ที่เพิ่มขึ้นที่เอดจ์ เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องซึ่งพบว่ายอดขายจาก 2% ในเดือนสิงหาคม 2564 สูงขึ้นเป็น 8% ในเดือนสิงหาคม 2565"


กำลังโหลดความคิดเห็น