อีเบย์ (eBay) เผยอีคอมเมิร์ซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังโตไม่หยุด ย้ำเอสเอ็มอีไทย 76% ส่งออกสินค้าขายดีไปมากกว่า 10 ตลาดทั่วโลก
นายวิทเมย์ ไนยนี ผู้อำนวยการประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย eBay International CBT (Cross Border Trade) กล่าวถึงนโยบายของ eBay ในการผลักดัน SME ไทยให้เป็นผู้ขายในตลาดโลกว่าเป็นการเสริมสมดุลให้ธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน โดยเอสเอ็มอีไทยได้รับการรับรองเป็น eBay-enabled businesses ด้วยยอดขายต่อปี 10,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป ซึ่งกลุ่มสินค้าขายดี 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องประดับและนาฬิกา ชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์ สุขภาพและความงาม ของสะสม รวมถึงสินค้าของใช้ในบ้านและสวน
"แพลตฟอร์มดิจิทัลมีส่วนช่วยให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกไปยังตลาดทั่วโลกได้อย่างลงตัว ด้วยพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่ดี มีบุคลากรที่มีความสามารถในด้านต่างๆ ความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งมีสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่ต้องการของตลาดมากมาย”
อีเบย์ หรือ eBay นั้นการันตีตัวเองเป็นผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซระดับโลกที่เชื่อมต่อผู้ซื้อผู้ขายนับล้านทั่วโลก ล่าสุด บริษัทได้เปิดรายงานกิจการออนไลน์ขนาดเล็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2565 (Southeast Asia Small Online Business Trade Report 2022) เผยความสำเร็จของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ที่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและคำปรึกษาจากอีเบย์มาปรับใช้ในธุรกิจ เป็นการยกระดับตัวเองสู่กิจการขนาดเล็กที่ทำธุรกิจส่งออก หรือ MMNEs (Micro Multi-National Enterprises) เข้าถึงผู้ซื้อในตลาดโลกได้มากขึ้น
รายงานกิจการออนไลน์ขนาดเล็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2565 ซึ่งใช้ข้อมูลอ้างอิงจากธุรกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนอีเบย์ในช่วงปี 2563 โดยได้ติดตามกิจกรรมการขายสินค้าออนไลน์ในภูมิภาครวม 6 ตลาด ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ที่มียอดขายบนอีเบย์ต่อปีในระดับ 10,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป โดยถือเป็นผู้ขายที่เป็นกิจการขนาดเล็กบนอีเบย์ หรือ “eBay-enabled small businesses"
อีกประเด็นน่าสนใจข้อหนึ่งในรายงานฉบับนี้คือ ผู้ขายไทยที่ถือเป็นกิจการขนาดเล็กบนอีเบย์นั้น ขายสินค้าส่งออกทั้ง 100% แสดงให้เห็นว่า แพลตฟอร์มอีเบย์เป็นช่องทางที่ช่วยขยายโอกาสให้ผู้ขายเข้าถึงผู้ซื้อจากทั่วทุกมุมโลก
นายสันห์อมร วิชัยนิษฐ์ (รุจ) ผู้ขายสินค้าเครื่องประดับจิวเวลรีบนอีเบย์ กล่าวว่า ได้เริ่มทำการค้าจิวเวลรีในปี 2545 เพื่อขยายกิจการของครอบครัวที่จันทบุรี เมื่อได้เปิดร้านออนไลน์บนอีเบย์ สามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว จนทุกวันนี้สามารถส่งสินค้าออกมากกว่า 3,000 ชิ้นต่อเดือน ปัจจุบันขายสินค้าจิวเวลรีที่สวยงามมีเอกลักษณ์ผ่านร้านออนไลน์บนอีเบย์ ให้แก่ลูกค้าในยุโรปและอเมริกาเหนือเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ธุรกิจเครื่องประดับและเพชรพลอยรายอื่นๆ จากประเทศไทยต่างประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มนี้เช่นเดียวกัน โดยกลุ่มสินค้าท็อปไฟว์ที่ส่งออกโดยผู้ขายไทยที่เป็นกิจการขนาดเล็กบนอีเบย์ ได้แก่ 1) เครื่องประดับและนาฬิกา 2) ชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์ 3) สุขภาพและความงาม 4) ของสะสม และ 5) สินค้าของใช้ในบ้านและสวน
“อีเบย์ช่วยให้ธุรกิจครอบครัวของผมเติบโตมากขึ้น และสร้างงานในชุมชน ต้องขอขอบคุณทีมงานอีเบย์ที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีมาตลอด”
นอกจากนี้ กิจการขนาดเล็กบนอีเบย์ไม่ได้มีเพียงธุรกิจดั้งเดิมหรือกิจการที่ก่อตั้งมานานเสียทั้งหมด เพราะอีเบย์มีบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน ในรายงานฉบับนี้มี “ผู้ขายใหม่” (Newcomers) ที่สามารถทำยอดขายแตะระดับ 10,000 เหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2563 และก้าวขึ้นมาเป็นกิจการขนาดเล็กบนอีเบย์ได้ภายใน 4 ปี ซึ่งในบรรดาผู้ขายไทยที่นับว่าเป็นกิจการขนาดเล็กบนอีเบย์ในปี 2563 นั้น มีถึงร้อยละ 56 ที่เป็นผู้ขายใหม่
สินค้ากลุ่มของสะสมเป็นหนึ่งในห้ากลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพของไทย ซึ่งอีเบย์สามารถตอบโจทย์ในการเชื่อมแพสชันกับธุรกิจเข้าด้วยกัน จุดนี้นายอิทธิ นานา (ซุป) เจ้าของกิจการ Souppy Store กล่าวว่า จากที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวนักฟุตบอล และกลายเป็นนักสะสมของที่ระลึกจากกีฬาฟุตบอลตัวยง ได้เริ่มธุรกิจบนอีเบย์ในปี 2560 เพื่อขายการ์ดให้แฟนฟุตบอลคนอื่นๆ และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันได้คำสั่งซื้อจากลูกค้าทั่วโลก ทั้งจีน ฮ่องกง สหรัฐฯ และแคนาดา
“อีเบย์เป็นแพลตฟอร์มเดียวสำหรับผมในเข้าถึงผู้ซื้อจากทั่วโลกที่มีแพสชันเดียวกันในเรื่องการเทรดการ์ดฟุตบอล”
โดยรวมแล้วกิจการขนาดเล็กบนอีเบย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขายสินค้าไปยัง 214 ประเทศในปี 2563 ในจำนวนนี้ มีร้อยละ 64 ที่สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ขายระดับโลก (eBay Global Sellers) จากการส่งออกไปทวีปต่างๆ อย่างน้อย 4 ทวีป ซึ่งเอสเอ็มอีไทยประสบความสำเร็จมากกว่าอัตราเฉลี่ย โดยมีผู้ขายไทยที่เป็นกิจการขนาดเล็กบนอีเบย์ ร้อยละ 75 ขายสินค้าส่งออกไปอย่างน้อย 4 ทวีป และสัดส่วนร้อยละ 76 ที่สามารถส่งออกสินค้าไปยังมากกว่า 10 ประเทศปลายทาง
