xs
xsm
sm
md
lg

‘ฐากร’ เสนอแนวทางแก้ปัญหา OTT ที่ผู้บริโภคไทยไม่เดือดร้อนและประเทศได้ประโยชน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อดีตเลขาธิการ กสทช. “ฐากร ตัณฑสิทธิ์” เสนอแนวคิดใช้การจัดตั้ง “กองทุนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลหมู่บ้าน” เพื่อช่วยพัฒนารากฐานทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยเงินที่ได้จากการเก็บค่าใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ ที่เหล่า OTT แพลตฟอร์มต่างชาติให้บริการโดยที่ไม่ต้องลงทุนโครงข่ายโทรคมนาคม แต่กลับเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค ถือเป็นการยิงนัดเดียวได้นกสองตัว ทั้งแก้ปัญหา OTT และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ฐากร ตัณฑสิทธิ์ โพสต์บนเฟซบุ๊กถึงแนวทางการจัดการ OTT แพลตฟอร์มต่างชาติที่กัดกร่อนหลายธุรกิจในประเทศที่น่าสนใจและน่าจะบอกต่อๆ กันไปให้เข้าหู “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดีอีเอส เผื่อจะเห็นความสำคัญบ้าง

ฐากร ระบุว่า นับตั้งแต่มีการพัฒนาระบบโครงข่ายโทรคมนาคมในประเทศไทย ตั้งแต่ 2G เป็น 3G 4G และ 5G เป็นประเทศแรกในอาเซียน การใช้งานอินเทอร์เน็ตของคนไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาตลอด

ปัจจุบันข้อมูลจากรายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (The Sustainable Development Report 2022) ชี้ว่าคนไทย เข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต 57 ล้านคนจากจำนวนประชากรทั้งประเทศ 66 ล้านคน มีจำนวนเลขหมายโทรศัพท์ใช้งาน 92.33 ล้านเลขหมาย ในจำนวน 57 ล้านคนนี้มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนคิดเป็นสัดส่วน 71%

การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนอย่างแพร่หลายนำมาสู่การเติบโตของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่แข่งขันให้บริการหลายเจ้าทั่วโลก คนไทยราวๆ 51 ล้านคนติดต่อสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ แมสเซนเจอร์ ติ๊กต็อก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ กูเกิล และยูทูบที่เราคุ้นเคยกันดี ผู้เชี่ยวชาญเรียกบรรดาแพลตฟอร์มนี้ว่า “Over The Top” (OTT) หรือ “การให้บริการเหนือโครงข่าย”

แพลตฟอร์มทั้งหมดนี้เป็นของต่างชาติแต่ใช้โครงข่ายโทรคมนาคมของไทย ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เหมือนๆ กับ ถนน ไฟฟ้า สนามบิน ท่าเรือ เป็นต้น ต้องใช้เงินลงทุนนับเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท เงินเหล่านี้มาจากภาษีของประชาชนบ้าง และบางโครงสร้างพื้นฐานภาคเอกชนไทยเป็นผู้ลงทุนแทนรัฐ

ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหล่านี้เก็บเกี่ยวผลกำไรแต่ละปีมีจำนวนมหาศาล โดยปัจจุบันยังไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ ให้รัฐ และประชาชนของประเทศนั้นๆ เมื่อปีที่แล้วบริษัท เมตา (Meta) เจ้าของ FaceBook มีรายได้สุทธิ 10,285 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยตกราวๆ 370,000 ล้านบาท ส่วน TikTok กวาดรายได้จากการให้บริการทั่วโลกกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 145,000 ล้านบาท

ตามหลักการ การที่บริษัทเอกชนดำเนินการแสวงหากำไรโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของรัฐ บริษัทเหล่านี้ควรมีหน้าที่จ่ายเงินให้รัฐในอัตราที่เหมาะสม ในกรณีของไทย แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของไทยควรจ่ายเงินให้รัฐไทย ผมขอเรียกเงินที่ต้องจ่ายนี้ว่าเป็น “ค่าใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ”

วิธีการจัดเก็บเงินจากแพลตฟอร์มต่างชาติ อาจทำผ่านกระบวนการตรวจวัดปริมาณทราฟฟิก หรือปริมาณข้อมูลที่วิ่งเข้าออกเกตเวย์ โดยนำขนาดของทราพฟิกมากำหนดเป็นขนาดธุรกิจ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และคำนวณอัตราที่เรียกเก็บตามรายได้ของขนาดธุรกิจ “ถ้าทราฟฟิกใหญ่มาก มียูสเซอร์เป็นล้านคน ก็เก็บเงินมาก ถ้าทราฟฟิกขนาดเล็ก ก็เก็บเงินน้อยลงตามสัดส่วน”

ข้อเสนอนี้แตกต่างจากเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศ หรือ Vat for e-service ที่กรมสรรพากรเริ่มเก็บเมื่อปีที่แล้ว เพราะการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม “เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคไทยต้องจ่ายภาษี โดยที่แพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้ควักกระเป๋าตังค์จ่ายให้รัฐไทยแม้แต่น้อย เพราะไปบวกค่าภาษีเข้ากับค่าบริการแล้ว” แม้รัฐจะได้เงินภาษีมาบริหารประเทศ แต่ผู้แบกรับภาระภาษีคือประชาชนไทย ไม่ใช่แพลตฟอร์มที่เข้ามาใช้โครงสร้างพื้นฐานไทย

ตามข่าวบอกว่า แพลตฟอร์มต่างชาติที่ลงทะเบียนในไทยมีทั้งหมด 127 ราย ช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2564-มีนาคม 2565 (เพียง 6 เดือน) แพลตฟอร์มดังกล่าวทำรายได้รวมแล้ว 60,874 ล้านบาท กรมสรรพากรเก็บแวตเข้าคลัง 4,261 ล้านบาท

แนวคิดการเรียกเก็บค่าใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมนี้ เป็นกระแสที่ได้รับการยอมรับในโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพียงแค่ไทย ปัจจุบันสหภาพยุโรปมองว่าบรรดาบริษัทที่สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัล แม้ไม่ได้อยู่ในอียู แต่ถือว่าเป็นบริษัทมีตัวตนทางดิจิทัล (digital presence) และถ้าบริษัทเหล่านี้อยู่ในข่ายทำรายได้ในอียูมากกว่า 7 ล้านยูโรต่อปี หรือมีผู้ใช้งาน (user) มากกว่า 1 แสนคนต่อปี ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้อียู

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการอียูกำลังร่างกฎหมายเก็บภาษีดิจิทัล คาดการณ์ว่าถ้ากฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วและเก็บภาษีดังกล่าวที่อัตรา 3% จะทำให้สมาชิกอียูมีรายได้กว่า 5 ล้านล้านยูโรต่อปีภาษี หรือประมาณ 186.25 ล้านล้านบาท

สำหรับความกังวลที่ว่าหากเก็บค่าใช้โครงสร้างพื้นฐานนี้แล้ว แพลตฟอร์มต่างชาติซึ่งมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะหยุดหรือลดการให้บริการในไทยนั้น ผมคิดว่าเป็นไปได้ยาก เพราะข้อเสนออัตราจำนวนเงินที่รัฐ จะเรียกเก็บนับเป็นสัดส่วนที่ต่ำ เมื่อเทียบกับฐานรายได้ของแพลตฟอร์มเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่ความนิยมใช้บริการสูงมาก นอกจากนี้ หากในอนาคตประเทศอื่นๆ เริ่มเก็บเงินดังกล่าวในลักษณะเดียวกันเช่นที่เราจะเห็นในอียู การที่ไทยเรียกเก็บเงินเหล่านี้ไม่ทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจในไทยสูงกว่าประเทศอื่นแต่อย่างใด

ถ้าเรายอมรับในหลักการเรื่องการเก็บค่าใช้โครงพื้นฐานแล้ว คำถามสำคัญที่ตามมาคือ จะนำรายได้นี้ไปใช้จ่ายอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนไทย

วิธีหนึ่งที่ผมสนับสนุนคือ การจัดตั้ง “กองทุนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลหมู่บ้าน” ซึ่งมีหน้าที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลในระบบฐานรากจากหมู่บ้านให้เข้มแข็งสู่ระดับประเทศ หน้าที่หนึ่งของกองทุนนี้ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด “คือการเพิ่มทักษะทางด้านดิจิทัลให้เยาวชนและคนในชุมชน เพื่อให้สามารถปรับตัวและมีงานที่ดี ในยุคที่โลกและไทยกำลังเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ”

เงินเหล่านี้ไม่ใช่เงินอัดฉีดชั่วคราวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ทำเพื่อช่วยพัฒนารากฐานทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

กองทุนดังกล่าวจะบริหารงานโดยตัวแทนภาคประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เพื่อกระจายเงินลงไปสู่หมู่บ้าน และเมื่อถึงหมู่บ้านก็มีคณะกรรมการของหมู่บ้านเองเป็นผู้บริหารเอง จะไม่ใช่การบริหารกองทุนที่แบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อจะได้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในหมู่บ้าน และเกิดความรับผิดชอบของหมู่บ้านเองโดยตรง


ลองนึกภาพดู เรามี 72,035 หมู่บ้านทั่วประเทศ ถ้ามี “กองทุนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล” อย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อประโยชน์ของประชาชน และมีการขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน รากฐานของเศรษฐกิจไทยด้านดิจิทัลจะเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก และคนไทยจะมีความพร้อมและได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากกระแสดิจิทัลของโลก “ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังครับ”


กำลังโหลดความคิดเห็น