เดลล์ เทคโนโลยีส์ (Dell) ประกาศลุยพัฒนายกระดับระบบนิเวศ Cloud Client Computing การันตี "เพื่อการทำงานยุคใหม่"
เดลล์ เทคโนโลยีส์ อ้างในแถลงการณ์ล่าสุดว่า เป็นเวลามากกว่า 2 ทศวรรษที่เดลล์ขึ้นเป็นผู้นำในการพัฒนาโซลูชันต่างๆ สำหรับพื้นที่การทำงานในแบบเวอร์ชวล หรือที่เรียกว่า เวอร์ชวล เวิร์กสเปซ รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่บนคลาวด์ เดลล์ได้เพิ่มขีดความสามารถของความเชี่ยวชาญที่มีอยู่เพื่อต่อยอดวัฒนธรรมการทำงานในรูปแบบผสมผสานแบบไฮบริดให้เกิดขึ้น และจากการที่องค์กรธุรกิจต่างๆ ต่างมุ่งไปสู่รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด เทคโนโลยีจึงมีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนทั้งการรักษาความปลอดภัย การมอบประสบการณ์การทำงานที่ลื่นไหลไร้รอยต่อให้ผู้ใช้ปลายทางโดยไม่ยึดติดกับสถานที่ทำงาน หรืออุปกรณ์ใดที่มีการใช้อยู่
เมื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปสู่การทำงานในแบบทำงานจากที่ใดก็ได้ หรือที่เรียกว่า work-from-anywhere หมายถึงผู้จัดการด้านไอทีทั้งหลายต้องหันมาใคร่ครวญว่าควรที่จะดำเนินการเพื่อสนับสนุนหรือรองรับการทำงานในรูปแบบนี้อย่างไร การให้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสบการณ์การทำงานที่ดีและต่อเนื่อง สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งาน รวมถึงความสามารถที่เอื้อต่อการทำงานแบบคอลลาบอเรทีฟ โดยไม่สูญเสียความสามารถในการรักษาความปลอดภัย ตลอดจนถึงทางเลือกด้านความสามารถในการจัดการอย่างชาญฉลาด คือสิ่งที่มีความความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
"เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเป็นผู้นำและความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบโซลูชันที่มีความยืดหยุ่นเหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัว OptiPlex 3000 ธิน ไคลอันท์ ที่สร้างขึ้นด้วยการออกแบบที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้ พร้อมทั้งระบบนิเวศที่สมบูรณ์พร้อมในแบบเดียวกับที่ลูกค้าสามารถคาดหวังและเชื่อมั่นจากเครื่องเดสก์ท็อปเพื่อการทำงานสำหรับธุรกิจ ทั้งนี้ OptiPlex 3000 ธิน ไคลอันท์ มาพร้อมกับทางเลือกของระบบปฏิบัติการหลากรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Dell ThinOS หรือ Ubuntu Linux ตลอดจน Windows 10 IoT Enterprise ตัวอุปกรณ์สร้างขึ้นจากสิ่งที่ส่งต่อกันมาของเดลล์ในฐานะของผู้บุกเบิกไคลอันท์ โซลูชันบนคลาวด์ อีกทั้งยังนำเข้าสู่ยุคใหม่ของเดลล์ ธิน ไคลอันท์อีกด้วย ในความเป็นจริง ด้วยการผสานประวัติศาสตร์อันยาวนานของเดลล์ในด้านของคลาวด์โซลูชันเข้ากับเทคโนโลยีพีซี เราได้สร้างสรรค์ระบบธิน ไคลอันท์ที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของ Dell ThinOS ขึ้น" แถลงการณ์ระบุ
เดลล์ เล่าถึงยุคใหม่ของเดลล์ ธิน ไคลอันท์ และไฮบริด ไคลอันท์ว่า เป็นการออกแบบมาสำหรับทีมทำงานทุกขนาดไม่ว่าจะอยู่ในส่วนของออฟฟิศส่วนหน้า (front office) หรือออฟฟิศหลังบ้าน (back office) OptiPlex 3000 ธิน ไคลอันท์ มาพร้อมขนาดที่กะทัดรัด ไม่มีพัดลมระบายอากาศ (fan-less) สามารถปรับแต่งได้อย่างเต็มที่ (highly configurable) และยังสามารถทำงานร่วมกับขาตั้งและตัวยึดหลากหลายได้ ประกอบด้วย Intel processors ที่เป็น N-series ล่าสุด OptiPlex 3000 รองรับเมมโมรี 16 GB และมาพร้อมกับ 32GB eMMC Flash Storage มาตรฐาน ตามด้วยทางเลือกในการปรับแต่งเพิ่ม SSD storage ได้ถึง 256GB ตัวเครื่องประกอบด้วยพอร์ตต่างที่จำเป็น สามารถรองรับจอแสดงภาพ 4K ได้ถึง 3 จอ และเหมือนเครื่องในตระกูล OptiPlex ที่รองรับ Wi-Fi 6E ทำให้ได้รับประสบการณ์การเข้าถึงโลกดิจิทัลหรือการทำงานแบบเสมือน virtual workspaces ได้อย่างรวดเร็ว และเต็มประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ เดลล์ยังเชื่อว่านี่คือการเดินทางสู่ VDI และแอปพลิเคชันที่ทันสมัยได้ง่ายและสะดวกขึ้น
"ในขณะที่ลูกค้าของเรามองหาการทำงานในรูปแบบใหม่ๆ Dell Technologies’ VDI (Virtual Desktop Infrastructure) โซลูชันยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของเราที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และ OptiPlex 3000 ธิน ไคลอันท์ที่ถูกผสานเข้ากับสายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมซอฟต์แวร์คือตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าเดลล์ยังคงลงทุนในสายผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โซลูชันที่ครบวงจรของเดลล์สามารถให้การดูแลลูกค้าในทุกขนาดธุรกิจได้เป็นอย่างดี และนี่คือข้อเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ของเราและเป็นวิธีในการให้ความช่วยเหลือลูกค้าในทุกขั้นตอนของการเดินทางของการพัฒนาสู่ความทันสมัย" เดลล์ระบุ
เดลล์ย้ำว่าได้ลงทุนใน Dell ThinOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการธิน ไคลอันท์ที่มีความปลอดภัยสูงสุดซึ่งสร้างขึ้นสำหรับ VDI โดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การทำงานแบบคอลลาบอเรชันที่สมบูรณ์ รวมถึงสามารถนำมาปรับใช้อย่างง่ายดายในสภาพแวดล้อม VDI ทั้งหมด ทั้งนี้ ลูกค้าของเดลล์เป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงบริษัทรถเช่าระดับโลกได้ติดตั้ง ธิน ไคลอันท์ที่ใช้ Dell ThinOS ร่วมกับ Citrix Workspace เพื่อส่งมอบการเข้าถึงที่ราบลื่นไม่ติดขัดให้ผู้ใช้ปลายทางพร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาความปลอดภัยสูงสุด Dell ThinOS ที่รวมเข้ากับ Wyse Management Suite ช่วยให้องค์กรธุรกิจต่างๆ สามารถลดความซับซ้อนและปรับปรุงการดำเนินงานด้านไอทีได้
เดลล์ ย้ำว่าโซลูชันต่างๆ เหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการธิน ไคลอันท์ได้ถึงประมาณ 40,000 เครื่องทั่วโลกผ่านผู้ดูแลระบบไอทีเพียงคนเดียว
"VDI โซลูชันของเราสามารถปรับได้ตามต้องการเฉพาะด้านของลูกค้า เราร่วมมือกับพันธมิตรอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญอย่าง VMware สำหรับความสามารถในการทำงานร่วมกัน เช่น Workspace One และ VMware Horizon รวมถึงคู่ค้าอย่างไมโครซอฟท์เพื่อเสนอ Windows 10 IoT Enterprise ให้เป็นระบบปฏิบัติการทางเลือก ด้วยการรองรับโซลูชันของไมโครซอฟท์และ VMware ลูกค้าของเดลล์สามารถใช้ประโยชน์จากการลงทุนที่มีอยู่และรักษาประสบการณ์ที่สอดคล้องกันสำหรับผู้ดูแลระบบไอทีและผู้ใช้ปลายทาง"
เดลล์ยกตัวอย่างนวัตกรรมซอฟต์แวร์ Dell Hybrid Client ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ประมวลผลไคลอันท์ตัวแรกของโลกที่มีการจัดการระบบไฮบริดคลาวด์ โซลูชันเชิงพาณิชย์นี้ ซึ่งปัจจุบันมีให้บริการในแพลตฟอร์มพีซีของเดลล์มากกว่า 30 แพลตฟอร์มแล้ว ช่วยให้สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันและข้อมูลได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าแอปพลิเคชันหรือข้อมูลเหล่านั้นจะอยู่บนคลาวด์ ในดาต้าเซ็นเตอร์ หรือในเครื่องก็ตาม ทั้งนี้ หนึ่งในองค์กรด้านการธนาคารรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในตะวันออกกลางได้ปรับใช้โซลูชัน Dell Hybrid Client เพื่อให้ทีมงานที่มีมากกว่า 7,000 คนสามารถเข้าถึงพื้นที่ทำงานเสมือน (virtual workspace) ได้อย่างปลอดภัย
"นี่ไม่เพียงช่วยให้พนักงานมีประสบการณ์ที่สอดคล้องกันในไซต์ต่างๆ และเข้าถึงเครื่องมือการทำงานร่วมกันได้อย่างง่ายดาย หากแต่ทีมไอทียังสามารถบูรณาการโซลูชันการรักษาความปลอดภัยด้วยไบโอเมทริกซ์เพื่อช่วยปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและรับรองการปฏิบัติตามข้อกำหนดอีกด้วย"
เดลล์เชื่อว่าแนวทางการใช้ human-centric ของเดลล์ เทคโนโลยีส์ นำเสนอซอฟต์แวร์และอุปกรณ์ที่ปรับใช้ได้ง่ายและมีประโยชน์ จะสามารถช่วยลดความซับซ้อนของการปฏิบัติงานด้านไอที โดยไม่ต้องกังวลถึงความซับซ้อนของสถานที่ทำงานที่องค์กรต่างๆ ยังคงเรียนรู้และเดินหน้าต่อไป