แอปเปิล (Apple) ประเดิมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์รอบแรกของปีด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Mac Studio และ Studio Display พร้อมเพิ่มชิปเซ็ต M1 Utlra เข้ามา รวมถึงการอัปเดตผลิตภัณฑ์เดิมอย่าง iPhone SE พร้อมวางขาย 25 มีนาคมนี้ และ iPad Air รุ่นใหม่
สำหรับ iPhone SE (2022) มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A15 Bionic เช่นเดียวกับใน iPhone 13 ซีรีส์เปิดโอกาสให้ผู้ที่ชื่นชอบไอโฟนขนาดตัวเครื่องเล็กจับถนัดมือได้เลือกใช้งาน กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล มีให้เลือก 3 สี คือ ดำ ขาว และแดง
ตัวเครื่อง iPhone SE มากับขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว Retina Display ปรับปรุงกระจกหลังให้แข็งแรงขึ้นเป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้บน iPhone 13 รวมถึงแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น จากชิปเซ็ต A15 ที่ใช้พลังงานน้อยลง เมื่อทำงานร่วมกับ iOS 15 จะช่วยให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
จุดเด่นหลักของ iPhone SE คือ รองรับการเชื่อมต่อ 5G ที่จะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงการเชื่อมต่อ 5G ได้ในระดับราคาเครื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในราคาเริ่มต้น 15,900 บาท มีให้เลือกในขนาด 64 GB 128 GB และ 256 GB
นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มสีใหม่ให้แก่ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ด้วยสีเขียวอัลไพน์ ที่จะเริ่มวางจำหน่ายสีใหม่ โดยทั้ง iPhone SE และ iPhone 13 สีใหม่จะเริ่มเปิดให้สั่งจองในวันที่ 18 มีนาคม ก่อนวางจำหน่ายในไทยวันที่ 25 มีนาคม
ถัดมาคือ iPad Air อัปเกรดมาใช้งาน Apple M1 เช่นเดียวกับใน iPad Pro ทำให้ประสิทธิภาพเครื่องแรงขึ้น 60% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า และประมวลผลกราฟิกได้เร็วขึ้น 2 เท่า จนกลายเป็นแท็บเล็ตที่แรงกว่าโน้ตบุ๊กวินโดวส์ในระดับราคาเดียวกัน
หน้าจอ iPad Air ยังคงใช้งาน Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว ให้ความสว่างสูงสุด 500 nits ที่สามารถรใช้งานคู่กับ 2nd Gen Apple Pencil ได้เหมือนเดิม
พร้อมปรับปรุงกล้องหน้าให้เป็นเลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล ทำให้สามารถใช้งานฟีเจอร์ Center Stage รองรับการเชื่อมต่อ 5G วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 20,900 บาท มีให้เลือกรุ่น 64 GB และ 256 GB
***Mac Studio เจาะผู้ใช้งานมืออาชีพ
สำหรับในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Mac แอปเปิลได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Mac Studio และ Studio Display พร้อมกับเพิ่มไลน์ชิปเซ็ต Apple M1 ด้วย M1 Ultra ที่นำเทคโนโลยี Ultra Fusion มาเชื่อมต่อ M1 Max เข้าด้วยกัน
ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลของ M1 Ultra ด้วยทรานซิสเตอร์สูงถึง 1.14 แสนล้านตัว รองรับ Unified Memory 128 GB ทำงานบน CPU 20 คอร์ GPU 64 คอร์ และ NPU 32 คอร์ เร็วกว่า M1 Max ที่นับว่าแรงอยู่แล้วด้วย
ในภาพรวม M1 Ultra จะเหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการประมวลผล หรือถอดรหัสวิดีโอ อย่างมืออาชีพที่นำไปใช้ในการตัดต่อ ทำภาพความละเอียดสูง โดยเฉพาะในสตูดิโอระดับสูงที่ต้องการความเร็วในการเรนเดอร์ภาพกราฟิกต่างๆ
โดย Mac Studio จะมีให้เลือกทั้งรุ่น M1 Max และ M1 Ultra ที่สามารถปรับแต่งหน่วยความจำได้ 64 GB และ 128 GB ตามลำดับ เลือกพื้นที่เก็บข้อมูลได้สูงถึง 8 TB วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 69,900 บาท
นอกจากนี้ ยังมีได้เพิ่ม Studi Display เข้ามาเป็นหน้าจอเสริมในการใช้งานคู่กับ Mac Studio รวมถึงผู้ใช้งาน MacBook เดิม ด้วยจุดเด่นอย่างการแสดงผลที่รองรับ 1 พันล้านสี ขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด 5K กล้อง FaceTime พร้อมระบบ Center Stage ให้ใช้งาน ในราคา 54,900 บาท