โพลี (Poly) ประเมินองค์กรและผู้บริโภคไทยรับผลกระทบจากโควิด-19 ในทิศทางเดียวกับทั่วโลกต่อเนื่องถึงปีหน้า ทำให้ต้องเร่งหาโซลูชันเพื่อการทำงานแบบผสมผสานทั้งในและนอกสำนักงานหรือที่เรียกว่า “ไฮบริดเวิร์ก” (Hybrid work) ในระยะยาว ยอมรับภาวะนี้เป็นผลดีกับธุรกิจของโพลีเพราะมีโซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งองค์กรใหญ่-กลาง-เล็ก จนถึงผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีสำนักงาน ชี้อนาคตโซลูชันไฮบริดเวิร์กจะเน้นเทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียงและมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ เพื่อลดสัมผัสและเพิ่มศักยภาพให้อุปกรณ์ประชุมทางไกลอัจฉริยะยิ่งขึ้น
ซามีร์ ซายิด กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเกาหลี บริษัท โพลี กล่าวในงานประกาศแนวโน้มหลัก 3 ประการที่จะกำหนดอนาคตของการปฏิบัติงานในปี 2565 ว่าไฮบริดเวิร์กกำลังกลายเป็นรูปแบบการทำงานที่ผู้บริหารในบริษัทชั้นนำเลือกออกแบบและตัดสินใจลงทุนในสถานที่ทำงานแบบระยะยาว ทำให้เทรนด์ไฮบริดเวิร์กยังคงมาแรงในขณะที่หลายประเทศในเอเชียแปซิฟิกเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และแนวโน้มนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน
“ผลกระทบของโควิค-19 ที่เกิดขึ้นกับรูปแบบการทำงานในประเทศไทยนั้นไม่ต่างจากทั่วโลก คือต้องทำให้พนักงานสามารถทำงานได้จากทุกที่ และจะต้องทำได้ในทันที ขณะเดียวกันต้องตอบนโยบายในระยะกลางและระยะยาวได้ด้วย เพื่อผลักดันให้พนักงานมีเทคโนโลยีที่สามารถตอบสนองรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปได้ต่อเนื่อง”
ในสายตาของโพลีซึ่งการันตีตัวเองเป็นผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์เสียงและวิดีโอระดับพรีเมียม โพลีมองว่าพนักงานและองค์กรไทยมีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) ในการทำงานทางไกลผ่านระบบคลาวด์ ทั้ง Zoom และ Teams รวมถึงอีกหลายแพลตฟอร์มที่ทำให้เกิดการสื่อสารและการทำงานร่วมกันจากระยะไกล สำหรับโพลีเอง บริษัทได้วิเคราะห์รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปของกลุ่มบุคคลจนพบพฤติกรรมที่แตกต่างกันถึง 6 กลุ่ม ทำให้สามารถพัฒนาธุรกิจเพื่อตอบโจทย์การทำงานที่เหมาะสมแบบครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจว่าต้องใช้อุปกรณ์ใดจึงจะตอบโจทย์การประชุมทางไกลได้ ทั้งการคำนวณจากขนาดห้อง สภาพแวดล้อมในขณะนั้น และการวิเคราะห์ข้อมูลอื่นเพื่อตอบความต้องการขององค์กรทุกขนาด ตั้งแต่ขนาดใหญ่ กลาง ไปจนถึงการใช้งานแบบไม่มีสำนักงาน
สำหรับปีนี้ โพลีได้ดำเนินการสำรวจเรื่อง “นายจ้างผู้คิดเรื่องการปฏิบัตงานใหม่” (EY Work Reimagined Employer Survey) ประจำปี 2021 พบว่ามีองค์กร 84% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานให้เป็นแบบไฮบริดในระดับปานกลางถึงระดับสูง และส่งเสริมวิธีการปฏิบัติงานแบบไฮบริดอย่างแข็งขันเพื่อดึงดูดและรักษาพนักงานที่เก่งมีความสามารถไว้ การสำรวจเดียวกันนี้ยังระบุด้วยว่าพนักงานชอบความยืดหยุ่นในสถานที่และเวลาทำงาน โดยการปฏิบัติงานแบบผสมจำนวนมากที่ระบุนั้นจะช่วยเพิ่มผลิตภาพและความคิดสร้างสรรค์ได้ดี
รายงานยังพบว่าระบบไฮบริดคือรูปแบบการปฏิบัติงานที่ได้รับความนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควบคู่ไปกับการทำงานทุกที่และทำงานเต็มเวลาจากระยะไกล โดยแนวโน้มหลัก 3 ประการที่จะกำหนดอนาคตของการปฏิบัติงานในปี 2022 นี้ คือ 1. แนวคิดการทำงานได้ทุกที่จะเปลี่ยนการจ้างงานและโครงสร้างของสถานที่ทำงาน 2. องค์กรจะใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูลในที่ทำงานให้มากขึ้น และ 3. มีการออกแบบพื้นที่สำนักงานแนวใหม่เพื่ออนาคตไฮบริด
สถิติน่าสนใจจากการสำรวจนี้คือ 90% ของนายจ้างในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแผนให้ความสำคัญในการยกระดับประสบการณ์พนักงานให้มากขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ 95% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการดำเนินงานประจำวัน ผลิตภัณฑ์ และบริการของบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยี AI และ ผู้ใช้สำนักงานในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ตั้งเป้าที่จะลดพื้นที่สำนักงานลงจากเดิม 10% เป็น 20% ในช่วง 3 ปีจากนี้ เบื้องต้นมีการประเมินว่าตลาดการประชุมทางวิดีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีอัตราการเติบโตต่อปีหรือ CAGR ระหว่างปี 2021-2027 ที่ 17.8%
แนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้คือองค์กรจะต้องหาทางเพิ่มประสบการณ์ในการประชุมที่เท่าเทียมกันให้กับพนักงานที่อยู่ในและนอกสำนักงาน โดยในยุคการทำงานจากทุกที่ที่มักมีเสียงรบกวนจากรอบข้าง อาทิ เสียงสนทนา เสียงตะโกนจากผู้อื่น เสียงพิมพ์ดีด เสียงริงโทน ซึ่งมีความดัง-เบาต่างกันล้วนส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน การปฏิสัมพันธ์ และความพึงพอใจของลูกค้า องค์กรจึงมองหาเทคโนโลยีที่ช่วยลดสิ่งรบกวนและช่วยให้พนักงานสามารถมีสมาธิมุ่งเน้นไปที่ภารกิจที่สำคัญจริงๆ ทำให้องค์กรควรเลือกใช้เทคโนโลยี Advanced Digital Hybrid Active Noise Cancelling (ANC) ที่ลดเสียงรบกวนจากภายนอกไม่ให้เล็ดลอดไปยังคู่สนทนา รวมถึงใช้ไมโครโฟนประสิทธิภาพสูงแบบมือโปรพร้อมเทคโนโลยี Acoustic Fence ของโพลีที่รวบรวมเฉพาะเสียงภายในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น ดังนั้น คู่สนทนาจะได้ยินเฉพาะเสียงของ 2 ฝ่าย ไม่มีเสียงรบกวนรอบด้านอื่นๆ
นอกจากเทคโนโลยีลดเสียงรบกวนจากภายนอก เทรนด์เทคโนโลยีในอุปกรณ์ด้านการประชุมทางไกลที่สำคัญคือการใช้ AI เข้ามาช่วยให้การใช้งานในห้องประชุมทำได้ง่ายมากขึ้น จุดนี้ผู้บริหารเผยว่าระบบประชุมทางไกลในอนาคตจะสามารถตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างในห้องประชุมได้ เช่น อาจมีระบบนับจำนวนผู้ฟังในห้องแบบอัตโนมัติ รวมถึงระบบ touchless ที่เน้นลดการสัมผัส ทำให้ผู้ใช้ปลอดภัยจากโรคเพราะไม่ต้องสัมผัสจอหรืออุปกรณ์ แต่สามารถเอ่ยปากพูดขอให้ระบบเปิดการประชุมอัตโนมัติ (เช่นพูดว่า Zoom, please start the meeting) รวมถึงมีระบบแปลภาษาที่ชาญฉลาด
“เชื่อว่าปีหน้าจะเป็นอีกปีที่น่าตื่นเต้นเพราะจะมีคุณสมบัติในระบบประชุมทางไกลถูกเปิดตัวออกมาอีกมาก ทำให้คลาวด์แพลตฟอร์มที่มี AI ยิ่งทำให้ประสบการณ์การประชุมทางไกลลื่นไหลมากขึ้น”
ปัจจุบัน โพลีมีนโยบายทำการตลาดทั้งในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปและกลุ่มองค์กร โดยวางช่องทางการจำหน่ายผ่านอีคอมเมิร์ซและผ่านพาร์ทเนอร์เพื่อทำตลาดกลุ่มองค์กรบริษัท จุดนี้โพลีมั่นใจว่าสามารถทำความเข้าใจความต้องการและสร้างโซลูชั่นที่ตอบความต้องการนั้นได้ครบถ้วน.