จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ ทำให้การเปิดตัวสมาร์ทโฟนแฟลกชิปรุ่นล่าสุดของ Huawei P50 ซีรีส์ ขาดแคลนชิปเซ็ต และเทคโนโลยี จนต้องตัดการเชื่อมต่อ 5G ทิ้งไป แต่ยังมากับจุดเด่นหลักอย่างกล้องเลนส์ Leica ที่จัดวางแบบใหม่รองรับการซูม 200 เท่าแทน
ริชาร์ด หยู ซีอีโอหัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสสิเนส กล่าวถึงการที่ Huawei P50 ไม่รองรับการเชื่อมต่อ 5G เนื่องมาจากการที่ไม่สามารถเข้าถึงโมดูลที่เชื่อมต่อ 5G ได้ ทำให้ต้องตัดสินใจนำ 5G ออกจากชิปเซ็ตที่ใช้งาน และเหลือเพียงเฉพาะรุ่น 4G เท่านั้น
โดย Huawei P50 และ P50 Pro ทำงานบนระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 2.0 มีความแตกต่างกันในเรื่องของกล้อง และชิปเซ็ตที่ใช้งาน ใน P50 ขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้ว จะมากับ Qualcomm Snapdragon 888 RAM 8 GB ROM 128 / 256 GB กล้องหลัก 3 เลนส์ 50 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล และเลนส์ซูม 12 ล้านพิกเซล
ในขณะที่ P50 Pro จะปรับขนาดจอเพิ่มเป็น 6.6 นิ้ว ใช้จอ OLED ที่รองรับ Refresh Rate 120 Hz ทำงานบนชิปเซ็ต Kirin 9000 และ Snapdragon 888 RAM 8 / 12 GB ROM 128 / 256 / 512 GB ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเทศที่วางจำหน่าย จากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ ทำให้ในบางประเทศจำเป็นต้องจำหน่ายในรุ่นที่ใช้ Snapdragon
เลนส์กล้องของ P50 Pro จะมากับเลนส์หลัก 50 ล้านพิกเซล เลนส์ขาวดำช่วยเพิ่มความคมชัด 40 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล และเลนส์ซูม 64 ล้านพิกเซล ทำให้สามารถซูมแบบออปติคัลได้ 3.5 เท่า และดิจิทัลซูมได้ถึง 200 เท่า
ทั้ง 2 รุ่นผ่านมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 และมีแบตเตอรี่ที่ให้มาในขนาด 4100 mAh และ 4320 mAh รองรับชาร์จไว 66W โดยในรุ่น Pro จะรองรับการชาร์จไร้สาย 50W เพิ่มเติมด้วย
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการเปิดตัว P50 ซีรีส์ ในครั้งนี้ หัวเว่ยไม่ได้มีการนำเสนอนวัตกรรมเหมือนในรุ่นที่ผ่านมาๆ มา แต่เป็นการอัปเกรดสเปกให้เพิ่มขึ้นบนข้อจำกัดที่มี และคาดการณ์กันว่านวัตกรรมของหัวเว่ย จะย้ายไปอยู่บนแบรนด์ฮอเนอร์ (Honor) ที่ไม่โดยผลกระทบจากสงครามการค้าแทน
สำหรับราคาจำหน่ายของ Huawei P50 เริ่มต้นที่ 4,488 หยวน หรือประมาณ 22,800 บาท ส่วน Huawei P50 Pro เริ่มต้นที่ 5,988 หยวน หรือราว 30,500 บาท