ดีอีเอสรับมอบระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบเทเลเมดีซีน และถุงยังชีพจากพันธมิตรอย่าง NT และหัวเว่ย มอบให้ผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน พร้อมร่วมสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์รับมือสถานการณ์แพร่ระบาด
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ได้ส่งมอบระบบสื่อสารโทรคมนาคมและระบบเทเลเมดิซีนให้แก่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน พร้อมกับตรวจสอบคุณภาพสัญญาณสื่อสารในจุดต่างๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ต ฟรีไวไฟ รองรับการทำงานของเจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล ตลอดจนสามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยโควิด-19 สามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระทรวงดีอีเอสตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค จึงพร้อมประสานงานไปยัง NT ให้ดำเนินการสนับสนุนติดตั้งระบบ Internet Wi-Fi ระบบโทรศัพท์ IP Phone รวมถึงระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อให้บริการกับเจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยโควิด-19 ได้ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
ทั้งนี้ กระทรวงดีอีเอสพร้อมอำนวยความสะดวกให้แก่โรงพยาบาลสนามทุกแห่งที่แจ้งความประสงค์เข้ามา และยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหัวเว่ยมอบระบบเทเลเมดิซีนเพื่อสนับสนุนการรักษาพยาบาลแก่ประชาชนให้สะดวกและรวดเร็วขึ้นอีกด้วย ซึ่งทางกระทรวงฯ ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และผู้ป่วยผ่านพ้นวิกฤตนี้โดยเร็ว
นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวว่า ในการส่งมอบระบบสื่อสารโทรคมนาคมให้แก่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ซึ่งใช้เป็นโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ในครั้งนี้ NT ได้เข้าติดตั้งระบบ Internet WiFi และระบบ CCTV ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2564 ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จทั้ง 4 เฟส ทำให้สามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนการใช้ติดต่อสื่อสารของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการให้บริการโรงพยาบาลแห่งนี้แล้ว NT ยังได้เข้าติดตั้งระบบ Internet Wi-Fi โทรศัพท์ IP Phone รวมถึงกล้องวงจรปิด (CCTV) ให้แก่โรงพยาบาลสนามในหลายพื้นที่ ได้แก่ โรงพยาบาลสนาม 2 จังหวัดเชียงราย (ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS) โรงพยาบาลสนาม มหาวิทยาลัยพะเยา โรงพยาบาลสนาม มหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลสนามวชิรพยาบาล โรงพยาบาลสนามเอราวัณ 1 บางบอน (ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา) โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ โรงพยาบาลสนามโรงพยาบาลกลาง และโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
ด้านนายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยในขณะนี้ เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นตัวช่วยสำคัญของภาคสาธารณสุขในการรับมือกับปัญหาเรื่องการขาดแคลนทางการแพทย์ และในฐานะที่บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เป็นพาร์ตเนอร์ด้าน ICT ที่ได้รับความไว้วางใจในประเทศไทย หัวเว่ยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐ สถานพยาบาล และทีมบุคลาการทางการแพทย์ในการรับมือกับสถานการณ์ระบาดของโควิด-19
โดยหัวเว่ยได้ระดมทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าติดตั้งระบบโซลูชันที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรภาพของการสื่อสาร เช่น นวัตกรรมการสื่อสารทางไกล 5G เพื่อการแพทย์ (5G Telemedicine) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลการวินิจฉัย การรักษาและการป้องกันโรค รวมทั้งลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้แก่บุคลากรการแพทย์ ระบบโครงข่ายวิทยุสื่อสารไร้สายบรอดแบนด์ eLTE (eLTE broadband trunking) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรภาพของการสื่อสารในด้านการประสานงานในช่วงเวลาสำคัญผ่านโครงข่ายไร้สายแบบบรอดแบนด์แบบเฉพาะ (Private network) ที่สามารถทำการสื่อสารผ่านภาพ เสียง วิดีโอ และแสดงพิกัด (Location service) ของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ผ่านโครงข่ายวิทยุไร้สาย eLTE ซึ่งสามารถทำงานโดยไม่ต้องพึ่งพาโครงข่ายของผู้ให้บริการ (Public network) หลีกเลี่ยงความแออัดจากการใช้งานโครงข่าย (traffic congestion) ของประชาชน
นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบบริหารจัดการผู้ป่วยอัจฉริยะ (Inpatient area Intelligent Management) เพื่อส่งเสริมการจัดให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ผู้ป่วยโควิด-19 ได้อย่างทันท่วงที และลดภาระการทำงานให้แก่บุคลากรในพื้นที่ นวัตกรรมเหล่านี้ทำงานบนเครือข่าย 5G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“หัวเว่ยเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แพทย์ ช่วยป้องกันให้กับบุคลากรทุกคนในโรงพยาบาลสนาม และช่วยทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันของไทยดีขึ้น”