“ชัยวุฒิ” เตรียมเรียก ไทยคม หาความชัดเจนเรื่องแปลงสัญญาสัมปทานดาวเทียมก่อนส่งมอบทรัพย์สิน ก.ย.2564 หวั่นผิดกฎหมาย เหตุสัดส่วนผู้ถือหุ้นไม่ตรงกับเนื้อหาสัญญาสัมปทาน
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เพื่อหารือเรื่องเนื้อหาของสัญญาสัมปทานดาวเทียมไทยคมซึ่งพบว่าปัจจุบันสัดส่วนผู้ถือหุ้นไม่ตรงตามสัญญาสัมปทานที่ทำไว้ตั้งแต่เริ่มการทำสัญญาสัมปทาน เป็นสาเหตุทำให้ไม่สามารถดำเนินการส่งมอบทรัพย์สินดาวเทียม 4 และ 6 ได้ซึ่งสัญญาดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในเดือน ก.ย.2564
สำหรับเนื้อหาในการทำสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ทำร่วมกับบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ หรือ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น ในปี 2534 นั้น สัญญาได้กำหนดให้ต้องดำเนินการตั้งบริษัทใหม่ และถือหุ้นไม่น้อยกว่า 51% เพื่อดำเนินงานแทนตามสัญญาสัมปทาน ซึ่งก็คือบริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ หรือบริษัท ไทยคม ในปัจจุบัน
แต่ในปี 2546 ไทยคม ทำหนังสือถึงกระทรวงไอซีที ขอลดสัดส่วนการถือหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ไทยคม จากเดิมไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% ด้วยเหตุผล ต้องหาพันธมิตรเพื่อให้มีเงินทุนเพียงพอขยายศักยภาพการแข่งขัน จนนำไปสู่การแก้ไขสัญญาสัมปทานในสมัยนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี อดีตรัฐมนตรีไอซีที
และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติว่าเป็นความผิด และเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายแพทย์สุรพงษ์ นายไกรสร พรสุธี อดีตปลัดกระทรวงไอซีที และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีที่มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จากไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ดังนั้น กระทรวงดีอีเอสต้องหาความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวก่อน เพราะปัจจุบันสัดส่วนการถือหุ้นยังไม่ได้กลับไปสู่สัดส่วนเดิมตามที่ระบุไว้ในสัญญาสัมปทาน ก่อนที่จะรับมอบมาให้บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT มาดูแล ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะให้ไทยคมช่วยดูแลด้วย ขณะที่อินทัชถือหุ้นในไทยคม 41% และสิงค์เทล ถือหุ้นในอินทัช 21% ด้วย จึงต้องดูเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นให้ถูกต้องว่าไม่ได้มีสัดส่วนของต่างชาติมากกว่าคนไทยเพราะดาวเทียมเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลและความมั่นคงเมื่อรัฐต้องดูแลสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต้องเป็นบริษัทไทย