xs
xsm
sm
md
lg

ไทยนิยม “ไฮบริดคลาวด์” มากกว่าค่าเฉลี่ยโลก แต่ 15% ยังกั๊กไม่ลงทุนเพิ่มช่วงโควิด-19

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ย้ำว่าไทยเป็นพื้นที่ที่มีการวางแผนใช้ HCI มากที่สุด
นูทานิคซ์ (Nutanix) พบบริษัทไทยนิยมโครงสร้างไฮบริดคลาวด์มากกว่าค่าเฉลี่ยโลก ส่วนใหญ่ขยายจากมัลติพับลิกคลาวด์มาเป็นคลาวด์ผสมใน 3-5 ปี สัดส่วนระบุมีแผนใช้โครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) กับดาต้าเซ็นเตอร์ค่อนข้างมาก คาด 67% จะใช้คลาวด์อย่างเดียวใน 5 ปีนับจากนี้ เกิน 68% ตัดสินใจเพิ่มการลงทุนพับลิกคลาวด์ช่วงโควิด-19 แต่ยังมี 15% ที่แอบนิ่งยังไม่คิดลงทุนคลาวด์ใดในช่วงวิกฤต

นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ เผยบทสรุปจากดัชนีการใช้งานคลาวด์ระดับองค์กร จากการสำรวจผู้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความสนใจใช้ไฮบริดคลาวด์ ตอกย้ำว่าอนาคตที่องค์กรไทยจะไปคือคลาวด์แบบผสมผสานจนความต้องการใช้โครงข่ายไอทีแบบดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน 20-30 ปีลดลงต่อเนื่อง เป็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สอดคล้องกับประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม จุดแตกต่างของตัวเลขในประเทศไทยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาค คือ 92% ของกลุ่มตัวอย่างไทยเห็นด้วยว่าจะต้องนำเอาพับลิกคลาวด์หรือไม่ก็ไพรเวตคลาวด์มาใช้ สูงกว่า 87% ของผลสำรวจทั่วโลก

“ยังมีตัวเลข 76% ที่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าไฮบริดคลาวด์เป็นระบบที่เหมาะสม เยอะกว่าประเทศอื่น และมากกว่าเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดย 67% มีความคิดที่จะใช้คลาวด์ใน 5 ปีนับจากนี้ และมี 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่คิดว่าจะยังใช้อินฟราสตรักเจอร์ดั้งเดิมที่มี”

สาเหตุที่ทำให้ตัวเลขการสำรวจในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่าประเทศอื่นทั่วโลก คือส่วนใหญ่องค์กรอาจยังใช้ระบบแบบดั้งเดิม จึงต้องการระบบงานรูปแบบใหม่ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้น
ทวิพงศ์ ย้ำว่าไทยกลายเป็นพื้นที่ที่มีการวางแผนใช้โครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) กับดาต้าเซ็นเตอร์มากขึ้นสูงสุด ทำให้วงการไอทีไทยล้ำหน้าประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น และในระดับโลกเรื่องการใช้ HCI โดยที่เกือบ 70% ของผู้ตอบแบบสำรวจรายงานว่า มีการใช้งาน HCI แบบเต็มรูปแบบและอยู่ในกระบวนการนำ HCI ไปใช้งาน ในขณะที่อีก 23% วางแผนที่จะนำ HCI ไปใช้ในอีก 12-24 เดือนข้างหน้า สูงกว่าผลสำรวจทั่วโลกโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 50% เท่านั้น

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตัวเลขการสำรวจในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่าประเทศอื่นทั่วโลก คือส่วนใหญ่องค์กรอาจยังใช้ระบบแบบดั้งเดิม จึงต้องการระบบงานรูปแบบใหม่ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การสำรวจพบว่ายังมีหลายองค์กรที่ไม่พร้อมเข้าสู่ไฮบริดคลาวด์ในทันที บางส่วนต้องเริ่มที่มัลติคลาวด์ก่อน โดย 15% ยังไม่พิจารณาลงทุนคลาวด์ในช่วงโควิด-19

15% ยังรีรอ

การลงทุนระบบคลาวด์ใหม่ที่เป็นผลกระทบจากโควิด-19 พบว่าแม้ผู้ตอบแบบสำรวจทุกคนจะกล่าวว่าโควิด-19 มีผลทำให้ต้องลงทุนในระบบคลาวด์เพิ่มขึ้น โดย 45% ของผู้ตอบแบบสำรวจในไทยลงทุนเพิ่มเรื่องไฮบริดคลาวด์ ใกล้เคียงกับ 46% ที่เป็นค่าเฉลี่ยของระดับโลก แต่ก็ยังมี 15% ที่ไม่ลงทุนคลาวด์เพิ่ม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่า 8% ที่เป็นค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและ 10% ของค่าเฉลี่ยโลก

“ที่มากกว่าประเทศอื่นในเอเชียแปซิฟิกและค่าเฉลี่ยโลก เพราะองค์กรไทยจำนวนมากยังดำเนินงานในรูปแบบที่ไม่พึ่งพาระบบไอทีมากเท่าไร องค์กรเหล่านี้จึงยังไม่ให้ความสำคัญกับไฮบริดคลาวด์ แต่ถ้าเป็นองค์กรใหญ่ก็จะยังลงทุนต่อเนื่องอยู่แล้ว”

ผู้บริหารนูทานิคซ์ยอมรับว่า การสำรวจนี้สะท้อนถึงสัญญาณดีต่อนูทานิคซ์ เพราะชัดเจนว่าองค์กรไทยให้ความสำคัญในการนำระบบคลาวด์มาใช้แทนดาต้าเซ็นเตอร์ดั้งเดิม ขณะเดียวกัน โควิด-19 ก็ผลักดันให้มีการใช้คลาวด์มากขึ้น สอดคล้องกับผลการสำรวจที่ผ่านมา และแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยี

องค์กรไทย 15% ยังไม่พิจารณาลงทุนคลาวด์ในช่วงโควิด-19
สำหรับการต่อยอดธุรกิจจากผลการสำรวจนี้ นูทานิคซ์จะเน้นทำตลาดโซลูชันเชื่อมเครือข่าย HCI เข้ากับพับลิกคลาวด์หลายค่าย ทำให้องค์กรใหญ่ไม่ต้องพบกับข้อจำกัดเรื่องการใช้พับลิกคลาวด์ ทั้งในเรื่องตำแหน่งที่ตั้งของดาต้าที่ต้องอยู่ใกล้ผู้ใช้ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่พับลิกคลาวด์อาจควบคุมได้ยากกว่าจนเสี่ยงเกิดผลกระทบในอนาคต

ในส่วนองค์กรไทย นูทานิคซ์พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานไฮบริดคลาวด์เพิ่มสูงมากขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปีที่ผ่านมาคือกลุ่มโทรคมนาคมและกลุ่มการเงินการธนาคาร สำหรับภาครัฐ ผู้บริหารมองว่ายังเป็นข้อกำหนดเพราะในทางปฏิบัติยังไปพับลิกคลาวด์ หรือคลาวด์ต่างชาติไม่ได้ แต่ก็เห็นทิศทางการทำคลาวด์ภาครัฐที่มีการพูดกันด้านนโยบาย ให้หน่วยงานใช้คลาวด์ภาครัฐมากขึ้น สำหรับการให้บริการประชาชนที่ดีขึ้น

สัดส่วน 45% ของผู้ตอบแบบสำรวจในไทยที่ได้ลงทุนเพิ่มเรื่องไฮบริดคลาวด์ช่วงโควิด-19 ถือเป็นสัญญาณบวกต่อธุรกิจนูทานิคซ์ บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตชัดเจนเนื่องจากลูกค้ามีการลงทุนด้านอินฟราสตรักเจอร์มากขึ้น เป็นโอกาสว่าบริษัทจะเติบโตได้ดีมากกว่าปี 63 ที่ผ่านมา บนจุดกังวลถึงโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อว่าอาจจะส่งผลต่อบางธุรกิจในระยะยาว


กำลังโหลดความคิดเห็น