ความท้าทายในช่วงวิกฤตสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 กลายเป็นสิ่งแรกที่ ‘ลิม ชุน เต็ก’ กรรมการผู้จัดการ ของ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย ต้องรับมือ หลังจากเข้ามารับตำแหน่งในช่วงปลายปีที่ผ่าน มา แต่ในวิกฤตนี้ เอชพี ยังมองเห็นโอกาส ที่จะปรับแผนรับมือกับตลาด หลังจากที่โควิด-19 เข้ามาเป็นตัวเร่งให้ทั้งผู้บริโภค และองค์กรธุรกิจต่างต้องปรับตัวรับกับกระแสดิจิทัล
หนึ่งในความโชคดีของ เอชพี คือการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าไอทีแบบครบวงจร ในยุคที่ความต้องการใช้งานพีซีเพิ่มสูงขึ้น และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องอย่างเครื่องพิมพ์ และจอมอนิเตอร์ก็มีความต้องการมากขึ้นในตลาด ซึ่ง เอชพี ถือเป็นแบรนด์เดียวในท้องตลาดที่มีสินค้าครบทุกไลน์
โดยจากการศึกษาล่าสุดของเอชพี พบว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการทำงานระยะไกล หรือ การทำงานจากที่บ้านเพิ่มสูงขึ้น และแม้ว่าจะผ่านพ้นช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดไปแล้ว พนักงานราว 25-30% มีโอกาสที่จะทำงานจากนอกสถานที่ต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับปัจจัยเรื่องของความยืดหยุ่นในการทำงานของพนักงานในแต่ละองค์กร
ลิม ชุน เต็ก ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้พนักงาน และองค์กรธุรกิจเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้สามารถอยู่รอดได้ แม้ว่าไม่สามารถเข้าไปทำงานภายในสำนักงานได้ ขณะเดียวกันความสำคัญในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน และความปลอดภัยของข้อมูลก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นตามมาด้วย
“ในภาวะแบบนี้เอชพี ถือว่าค่อนข้างได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการที่ผู้คนมีความต้องการอุปกรณ์ในการทำงานจากนอกสำนักงานมากขึ้น โดยเมื่อเทียบข้อมูลการค้นหาในกูเกิลพบว่ามีการค้นหาเกี่ยวกับโน้ตบุ๊กเพิ่มขึ้นถึง 64% ในขณะที่เครื่องพิมพ์เพิ่มขึ้น 58% ตามด้วยจอมอนิเตอร์ 51%”
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเอชพี ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก เครื่องพิมพ์ และจอมอนิเตอร์ ยังมีความต้องการจากตลาดอยู่ เสริมด้วยพฤติกรรมที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในกลุ่ม Gen Z ที่มีการใช้งานพีซีเพิ่มขึ้นถึง 45% เนื่องจากเริ่มกลายมาเป็นผู้สร้างคอนเทนต์แล้ว ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่จะเน้นการเสพคอนเทนต์ผ่านอุปกรณ์พกพาเป็นหลัก
***ปรับกลยุทธ์คว้าโอกาสทางธุรกิจ
ที่ผ่านมา เอชพี ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำตลาดประเทศไทย มีกลุ่มลูกค้าองค์กรที่แข็งแรง แต่เมื่อเข้าสู่ยุคที่ทุกคนต้องปรับตัวรับกับดิจิทัล ทำให้เอชพี ต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเข้ามาช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับกลยุทธ์หลักที่เอชพี เตรียมการไว้คือ Advance, Disrupt และ Transform เริ่มจากการปรับโครงสร้างการทำงานให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ปรับแนวคิดที่คำนึงถึงลูกค้าเป็นหลัก เพื่อให้สามารถสร้างอีโคซิสเตมส์ที่เหมาะสมร่วมกัน และทำให้ธุรกิจมีความแข็งแรงมากขึ้น
โดยแนวทางที่เอชพีวางไว้นั้น ถือว่าเป็นการนำ 3 จุดแข็งของเอชพีมาปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็น Advance ในแง่ของการเป็นผู้นำในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเครื่องพิมพ์ในตลาดองค์กรธุรกิจขนาดกลางและย่อม
ปัจจุบันเอชพี มีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มธุรกิจพีซี และเครื่องพิมพ์ทั่วโลกราว 10% เท่านั้น จากตลาดรวมที่มีมูลค่าถึง 4.85 แสนล้านเหรียญ ทำให้เชื่อว่ามีโอกาสในการเติบโตอีกมาก ด้วยการเข้าถึงลูกค้าในรูปแบบใหม่ๆ โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ของเอชพี ตอบโจทย์ทั้งในการทำงาน และการนำไปใช้ร่วมกับไลฟ์สไตล์ส่วนตัว
ลิม ชุน เต็ก มองว่า ภาพของการทำงานในวิถีใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังโควิด-19 จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนทั้งในเรื่องของการดำเนินชีวิต และการทำงาน ทำให้เอชพี ต้องเร่งปรับภาพให้ผู้บริโภคเห็นว่าเมื่อต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์ เอชพี มีทุกอย่างที่ลูกค้า และคู่ค้าต้องการ
ถัดมาคือ Disrupt ที่เอชพี มีธุรกิจอย่างเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในทุกๆ อุตสาหกรรม หนึ่งในประโยชน์สำคัญที่เกิดขึ้นจากความพร้อมในธุรกิจเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ของเอชพี คือในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา เอชพี ได้ร่วมกับพันธมิตรเพื่อผลิตหน้ากากป้องกันที่โรงพยาบาลขาดแคลนด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งกลายเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากที่สุด
“เอชพี เห็นโอกาสในธุรกิจกราฟิก และการพิมพ์ 3 มิติ ที่แม้ว่าปัจจุบันจะมีมูลค่าอยู่ราว 5.5 หมื่นล้านเหรียญ แต่เชื่อว่าในอนาคตอุตสาหกรรมที่จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านเหรียญ ดังนั้น เอชพี จึงต้องสร้างอีโคซิสเตมส์ที่เหมาะสมเพื่อเตรียมการไว้”
สุดท้ายคือ Transform ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานด้วยการเข้าไปช่วยลูกค้าปรับปรุงวิธีการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยี และการวิเคราะห์ข้อมูลเข้าไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตได้เร็วขึ้น ทำให้เอชพี มองถึงการลงทุนทางด้านบุคลากรเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ในเรื่องของการคิดค้นนวัตกรรม
***วิสัยทัศน์ในการทำชีวิตให้ดีขึ้น
สำหรับวิสัยทัศน์ที่ ลิม ชุน เต็ก คาดหวังว่าจะทำให้เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย คือการนำเทคโนโลยีเข้าไปเสริมสร้างให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคนดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเอชพี ได้มีการลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพีซี เครื่องพิมพ์ และโซลูชันต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือองค์กรธุรกิจในการปรับตัวสู่ดิจิทัล
“จากที่เห็นคือองค์กรธุรกิจไทยมีความต้องการในการนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อตอบสนองวิถีการทำงานในชีวิตประจำวันของพนักงานยุคใหม่ ดังจะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์ในยุคใหม่ของเอชพี ที่จะตอบโจทย์ทั้งการทำงาน การใช้ชีวิต และการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน”
นอกจากนี้ เอชพี ยังมีการนำเสนอตัวช่วยสำหรับธุรกิจที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจด้วย HP for Business ที่เป็นโซลูชันไอทีครบวงจร ทั้งการเช่าซื้อ เช่าใช้อุปกรณ์สำหรับการทำงาน พร้อมบริการหลังการขาย โดยเมื่อครบสัญญาเช่าก็สามารถเลือกเปลี่ยนคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ เพื่อให้การทำงานเดินหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ทีเดียว
ประกอบกับกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กรธุรกิจยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก HP Elite Dragonfly, คอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋ว HP Elite Slice, จนถึงเครื่องพิมพ์อย่าง HP SmartTank and OfficeJet Pro ที่มีความหลากหลาย เมื่อรวมกับแพลตฟอร์ม HP for Business จะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถเข้าถึงโซลูชันในการทำงาน โดยทื่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ด้วย