ออปโป้ (OPPO) ปรับทัพไลน์สินค้าครั้งใหญ่รับกลยุทธ์ใหม่ในปีที่ 11 ประเดิมยุบรวมรุ่นขายดี “เอฟซีรีส์” (F Series) เข้ากับเรโน (Reno) เพื่อให้ซีรีส์ชัดเจนและจดจำง่าย มั่นใจการเปลี่ยนแปลงส่งให้ออปโป้แข็งแรงขึ้นอีกในเซ็กเมนต์กลางเพราะดีไซน์สวยหรูขึ้นในราคาระดับเดิม สานต่อเป้าหมายเปิดตลาดไฮเอนด์เพื่อครองอันดับ 1 แบบถาวร
นายชานนท์ จิรายุกุล รองประธานกรรมการฝ่ายบริหาร ออปโป้ แห่งประเทศไทย กล่าวในงานเปิดตัวสินค้าใหม่ OPPO Reno2 F และ OPPO Reno2 ว่าการจัดทัพไลน์สินค้าครั้งใหม่ของออปโป้เป็นประวัติศาตร์หน้าสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะสะท้อนภาพธุรกิจของบริษัทในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยนับจากนี้ตระกูล F Series จะเป็นส่วนหนึ่งของ Reno จุดยืนเรื่องประสิทธิภาพการถ่ายภาพของ F Series จะถูกคงไว้พร้อมกับการเน้นที่ดีไซน์เหมือนตระกูล Reno เพื่อเน้นตอบโจทย์การใช้งานด้านการสร้างสรรค์หรือครีเอทีฟมากกว่าเดิม
“เรารวมซีรีส์เพราะต้องการเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมา F Series ไม่เคยมีใครสู้ได้ แต่ออปโป้ต้องการปรับทัพใหม่ เปลี่ยนเพื่อให้ซีรีส์ชัดเจนยิ่งขึ้นและมีจำนวนรุ่นไม่มากเกินไป ทำให้จดจำง่ายและทำการตลาดได้ง่าย ตอนแรกเราก็กังวลเรื่องการเปลี่ยน แต่ตอนนี้มั่นใจ เพราะดีไซน์สวยขึ้น กว่ารุ่นเดิมใน F Series มองแล้วเหมือนรุ่นราคา 2 หมื่นกว่าบาท แต่เราขายในราคาหมื่นกว่าบาท และฟังก์ชันไม่ด้อยลงเลย”
การรวมสายผลิตภัณฑ์ครั้งนี้เท่ากับเป็นการปิดฉาก F Series จำนวน 6 รุ่นที่ออปโป้ระบุว่าประสบความสำเร็จงดงาม โดยรุ่นที่ 7 จะถูกทำตลาดในปลายปีนี้ด้วยชื่อ Reno2 F รุ่นรองซึ่งจะควงคู่มากับรุ่นแพงกว่าอย่าง Reno2 เพราะความต่างเรื่องชิป พื้นที่เก็บข้อมูล และความสามารถด้านวิดีโอที่เหนือกว่า
ผลจากการปรับทัพใหม่ทำให้ออปโป้มี 4 สายผลิตภัณฑ์ในมือ แบ่งเป็น รุ่นที่จำหน่ายออนไลน์เท่านั้นอย่าง A Series ระดับราคา 4,000-9,000 บาทและ K Series ระดับ 9,000 บาท นอกนั้นเป็นกลุ่มที่จำหน่ายในร้านออฟไลน์เช่น Reno ระดับราคา 10,000-20,000 บาท และ Find ที่จะเป็นระดับแฟล็กชิป ราคาเครื่องเกิน 30,000 บาทขึ้นไป
ออปโป้ไม่ฟันธงว่าสินค้าตระกูล Find คือกลุ่มที่มีเทคโนโลยี 5G หรือจอพับได้ ประเด็นนี้ชานนท์ระบุเพียงว่าออปโป้จำหน่ายสมาร์ทโฟน 5G ในต่างประเทศแล้ว เช่นในสวิสเซอร์แลนด์ที่เปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G เจ้าแรกของยุโรปช่วงพฤษภาคม 62 ยังมีที่ออสเตรเลียที่เริ่มวางจำหน่ายแล้ว แต่สำหรับไทยยังต้องรอความชัดเจนจากหน่วยงานรัฐต่อไป
สำหรับ Reno2 ที่ออปโป้เพิ่งเปิดตัวนั้นมีจุดเด่นที่กล้อง 4 ตัวด้านหลังเครื่อง ประกอบด้วยกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล คู่กับเลนส์ไวด์ถ่ายภาพมุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล, เลนส์เทเลโฟโต้ 13 ล้านพิกเซล และเลนส์ถ่ายภาพขาวดำ 2 ล้านพิกเซล ที่เด่นคือกันภาพสั่นได้เยี่ยม เหมาะสำหรับบล็อกเกอร์ที่ต้องการถ่ายวิดีโอแบบกันภาพสั่น มีโหมดมาโครถ่ายภาพระยะใกล้ แถมด้วยโหมดถ่ายภาพในที่ไม่มีแสง ข้อแม้คือมือผู้ถ่ายต้องนิ่ง
ขณะที่รุ่นรอง Reno2 F เน้นจุดขายเรื่องกล้อง 4 ตัวด้านหลังเครื่องเช่นกัน หน้าจอไม่มีติ่งไม่มีรูกล้อง แต่มี Rising Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ความต่างจากรุ่น Reno2 คือชิปที่ด้อยกว่า และความครอบคลุมของระบบ AI รวมถึง Rom ที่มีขนาดต่างกัน โดย Ram ถูกกำหนดที่ 8GB เท่ากัน รองรับ VOOC 3.0 ชาร์จไวไม่ต่างกันคือชาร์จ 30 นาทีได้พลังงาน 51% ซึ่งรุ่น Reno2 F จะเน้นถ่ายภาพเซลฟี่และภาพนิ่ง มีให้เลือก 2 สีคือขาวและเขียว ราคา 11,990 บาท ขณะที่ Reno2 จะเน้นการถ่ายภาพและวิดีโอ มีให้เลือกสีชมพูและดำ ราคา 17,990 บาท ทั้ง 2 รุ่นเปิดให้ลูกค้าจองซื้อเครื่องแบบผูกสัญญากับเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟในราคาเริ่มต้น 3,490 บาท
สมาร์ทโฟนไทยมูลค่าไม่โต
ผู้บริหารออปโป้อ้างข้อมูลจากบริษัทวิจัย GFK ว่าภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนไทยถึงเดือนสิงหาคม 62 พบว่าจำนวนเครื่องที่ขายได้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นราว 5-7% แต่ในส่วนมูลค่าไม่มีการเติบโต คาดว่าเป็นผลจาก 2 ปัจจัย คือปัญหาเศรษฐกิจ และการแข่งขัน แต่ก็เป็นภาวะที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์
“ราคาเฉลี่ยสมาร์ทโฟนในตลาดไทยเติบโตติดต่อกันหลายปีแล้ว และบางกลุ่มยังอั้นซื้อเพื่อรอซื้อสมาร์ทโฟนบางรุ่น แต่ผมเชื่อว่าทุกรุ่นของออปโป้จะมาแรงเพราะแต่ละรุ่นมีจุดขาย สำหรับการแบ่งสินค้าเพื่อขายในตลาดออนไลน์โดยเฉพาะนั้น แม้ในเมืองไทยจะยังขยายตัวไม่เต็มที่ แต่ในประเทศอื่นตลาดนี้เติบโตมาก ออปโป้ก็ต้องเตรียมไว้ เพื่อรองรับการขยายในอนาคต”
นอกจากการเปิดตัว OPPO Reno2 F และ OPPO Reno2 ผู้บริหารระบุว่ากำลังเตรียมเปิดร้านแฟล็กชิปสโตร์ร้านแรกในประเทศไทยที่ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ช่วงตุลาคมนี้ สาขาดังกล่าวไม่ใช่สาขาแรกของอาเซียนเพราะออปโป้เปิดให้บริการก่อนหน้านี้ที่สิงคโปร์มาแล้ว
ร้านหรูขายรุ่นไฮโซ
มีความเป็นไปได้สูงที่ร้านค้าเรือธงของออปโป้จะถูกสร้างสรรค์เพื่อโชว์รุ่นเรือธงในตระกูล Find โดยเฉพาะ สะท้อนว่าออปโป้กำลังเดินเกมต่อจากปีที่แล้วซึ่งได้เปิดตัวรุ่น Find X หลังจากห่างหายไป 4-5 ปี ชานนท์ยอมรับว่าจะมีรุ่นเรือธงที่กำลังจะเปิดตัวในไม่นานนี้ และจะเป็น “คนละเรื่องกับ Find X” ซึ่งวางขายในราคา 29,000 บาท
“ก่อนนี้เรามีจุดอ่อนที่ตลาดไฮเอนด์ สิ่งที่จะทำให้เราเป็นเบอร์ 1 อย่างถาวรคือรุ่นระดับบน เราจะต้องชนะในตลาดบนให้ได้ เพื่อเป็นเบอร์ 1 อย่างถาวร”
ปลายปี 2018 ชื่อของออปโป้กลายเป็นแชมป์เบอร์ 1 ที่สามารถจำหน่ายสมาร์ทโฟนในไทยได้มากที่สุดด้วยส่วนแบ่ง 22% ชนะคู่แข่งอย่างซัมซุงที่ทำได้ 21% แต่ช่วง 8-9 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารออปโป้ยอมรับว่าสัดส่วนมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นออปโป้จึงเน้นปรับกลยุทธ์เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งได้ถาวรยิ่งขึ้น
“วันนี้หลายแบรนด์เน้นที่เซ็กเมนต์กลาง การปรับทัพครั้งนี้ผมเชื่อว่าออปโป้จะแข็งแรงขึ้นอีกในเซกเมนต์กลาง รูปลักษณ์ดีขึ้น พรีเมียมขึ้นมา สเปกก็ดี เราไม่ได้เพิ่งโดนตี แต่โดนตีมาตลอด ครึ่งปีแรกเราไม่มีสินค้าใหม่เลย แต่เน้นเปิดตัวช่วงครึ่งปีหลังตามปกติ การทำแบบนี้ยอดขายไม่เคยตกลง แถมเวลาที่ออปโป้เปลี่ยนเกมจะมีผลเพิ่มยอดขาย 50% ทีเดียว เป็นการโตแบบก้าวกระโดด”
ชานนท์มองว่า 3 ปีเป็นตัวเลขที่เหมาะสมในการพาออปโป้ขึ้นเป็นผู้นำในตลาดไฮเอนด์ ทั้งนี้เชื่อว่าอยู่ที่สินค้าและการนำเสนอ ซึ่งหากทำได้ก็จะสามารถแก้ไขจุดอ่อนของกลยุทธ์เดิมออปโป้เรื่องการไม่มีสินค้าไฮเอนด์เป็นตัวชูโรงให้แบรนด์ ดังนั้นในอนาคต ออปโป้อาจจะออกสินค้ากลุ่มไฮเอนด์ราวปีละ 2 รุ่น
ออปโป้ไม่เปิดเผยมูลค่างบลงทุนการตลาดสำหรับปีนี้ แต่ระบุว่าเตรียมงบประมาณไว้มากอยู่แล้วและจะทำต่อไปเพื่อบุกตลาดทั้งในเมืองและนอกเมือง ปัจจุบันมีการใช้พรีเซ็นเตอร์ชื่อดังเกิน 10 คน.