กองทุนฟาวเดอร์สฟันด์ (Founders Fund) ของมหาเศรษฐีชื่อดังในแวดวงซิลิคอนวัลเลย์ “ปีเตอร์ ธีล” (Peter Thiel) ซึ่งสนับสนุนการก่อตั้งเฟซบุ๊ก (Facebook) ในระยะแรกตัดใจเทขายหุ้นทั้งหมดแบบไม่เหลือเยื่อใย เป็นไปตามแผนทิ้งหุ้นกลุ่มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ซึ่งมีการประกาศส่งสัญญาณในช่วงก่อนหน้านี้
ในเอกสารชี้แจงต่อสำนักงานหลักทรัพย์ แสดงให้เห็นว่า Thiel ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Facebook จะเหลือหุ้น Class A ในมือเพียง 63,550 หุ้น หลังจากขายหุ้นมูลค่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ Thiel มีสัดส่วนเพียง 0.1% จากทั้งหมด 44.7 ล้านหุ้นที่เคยถือในมือช่วงที่ Facebook เข้าตลาดครั้งแรกในปี 2012
ทั้งกองทุน Founders Fund และตัว Thiel เองไม่ออกมาเปิดเผยความคิดเห็นต่อการตัดสินใจครั้งนี้ โดยที่ผ่านมา Thiel เดินหน้าขายหุ้นของตัวเอง 16.8 ล้านหุ้นในการขาย IPO ครั้งแรกของ Facebook เมื่อปี 2012 คิดเป็นมูลค่าราว 640 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อมาในปีเดียวกัน ก็ตัดสินใจขายอีกประมาณ 20 ล้านหุ้นในราคา 400 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกับให้ความเห็นไม่เชื่อมั่นในยักษ์ใหญ่ซิลิกอนวัลเลย์อีกต่อไป
Peter Thiel นั้นมีดีกรีเป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเพย์พาล (PayPal) ตัวกองทุนนี้ก่อตั้งขึ้นด้วยเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2005 โดย Thiel ร่วมมือกับผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal อย่างเคน โฮเวอรี่ (Ken Howery), ลูค โนเสก (Luke Nosek) ยังมีฌอน ปาร์เกอร์ (Sean Parker) ผู้ก่อตั้งแนปสเตอร์ (Napster) ซึ่งนำกองทุน Founders Fund ไปลงทุนใน บริษัทใหญ่ในนาทีนี้ทั้งสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) และแอร์บีเอ็นบี (Airbnb) ตั้งแต่ระยะแรกที่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง
ส่วนตัว Peter Thiel มหาเศรษฐีรายนี้เป็นที่รู้จักผ่านข่าวการระดมทุนเพื่อสู้คดี Hulk Hogan ที่ทำให้เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ Gawker ต้องปิดตัวลง บทบาทสำคัญของ Peter Thiel คือการเป็นผู้ลงทุนให้ Facebook ในปี 2004 ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 500,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเวลานั้น Facebook มีมูลค่าตลาดประมาณ 5 ล้านเหรียญเท่านั้น
การขายหุ้นครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นผลจากประเด็นการเมือง เนื่องจากมีเสียงเรียกร้องให้ Facebook ถอด Thiel ออกจากบอร์ดผู้บริหาร เนื่องจาก Peter Thiel เป็นคนดังรายเดียวในซิลิกอนวัลเลย์ที่ออกตัวสนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) อย่างชัดเจน แต่ที่ผ่านมา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งอย่างมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ก็ปกป้องเต็มที่ว่า Peter Thiel ควรอยู่ในบอร์ดบริหารต่อไป พร้อมกับอ้างถึงความสำคัญของความคิดเห็นที่หลากหลาย ซึ่งควรมีในบริษัทใหญ่อย่าง Facebook.