xs
xsm
sm
md
lg

MD ใหม่ Huawei ไทยลุยพัฒนาคน ภารกิจแรกธุรกิจสมาร์ทซิตี้ภูเก็ต

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เติ้ง เฟิง
หลังจากเข้ารับตำแหน่งเพียง 1 สัปดาห์ "เติ้ง เฟิง" กรรมการผู้จัดการใหญ่คนล่าสุดของหัวเว่ยประเทศไทยประกาศภารกิจแรกในกลุ่มธุรกิจสมาร์ทซิตี้ว่าจะเน้นพัฒนาบุคลากรเพื่อให้ประเทศไทยสร้างเมืองอัจฉริยะต้นแบบได้สำเร็จดังฝัน ไม่เผยเม็ดเงินงบประมาณแต่ระบุว่าจะนำประสบการณ์ เทคโนโลยี และบริการที่มีอยู่แล้วมาทำประโยชน์ ล่าสุดลงทุนจัดทำรายงานเชิงลึกแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะในภูเก็ตโดยยก 6 บริการสำคัญมาเป็นแนวทางชัดเจนระยะยาว ด้านคณะทำงาน DEPA ในพื้นที่ยอมรับข้อมูลจากรายงานนี้ตอกย้ำว่าสมาร์ทซิตี้ภูเก็ตจะเน้นลงทุนในแพลตฟอร์มข้อมูลเป็นหลัก

นายเติ้ง เฟิง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ประเทศไทย กล่าวระหว่างการเปิดตัวรายงานเชิงลึก "Smart City Framework and Guidence for Thailand: แผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในจังหวัดภูเก็ต 2019" ว่าไม่เพียงการพัฒนาบุคลากร ภารกิจแรกของส่วนธุรกิจสมาร์ทซิตี้ในฐานะ MD ประเทศไทยคนใหม่คือการนำเอาประสบการณ์ 20 ปีที่หัวเว่ยมีกับคู่ค้าไทยมาต่อยอดร่วมกับความพร้อมของหัวเว่ยที่มีเทคโนโลยีครบทั้งด้าน AI, IoT และ 5G โดยในอนาคตจะลงทุน 3 ด้านเพื่อสานต่อธุรกิจที่มีในไทย

"ในอนาคตเราอาจจะลงทุนบางอย่าง เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านส่งเสริมระบบอีโคซิสเต็มส์ และการพัฒนาบุคลากร เราจะมีกิจกรรมอีกมากมายหลายประเภท และจะพยายามหากรณีศึกษาที่หัวเว่ยทำสำเร็จแล้วในต่างประเทศ มาเผยแพร่ในประเทศไทย"

สำหรับรายงานเชิงลึก "Smart City Framework and Guidence for Thailand: แผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในจังหวัดภูเก็ต 2019" ที่หัวเว่ยลงทุนทำวิจัยร่วมกับบริษัทโรแลนด์ เบอร์เกอร์ นั้นมีเนื้อหาหลักคือการเสนอแผนการทำงานเพื่อเปลี่ยนภูเก็ตให้เป็นเมืองอัจฉริยะโดยสมบูรณ์ภายในปีหน้า (2563) ตัวรายงานถูกระบุว่าวิจัยมาเพื่อจังหวัดภูเก็ตโดยเฉพาะ ซึ่งเน้นแก้ 3 ปัญหาหลักที่คนภูเก็ตพบคือ การกำจัดขยะปริมาณมาก ความต้องการไฟฟ้าสูง และการจราจรที่แออัด
ผศ.ดร. ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์
จากการวิเคราะห์ปัญหา และสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง ทำให้รายงานนี้สรุปผลลัพท์ 6 ประเภทธุรกิจบริการที่สำคัญมากที่สุดสำหรับการพัฒนาภูเก็ตให้เป็นเมืองอัจฉริยะ ได้แก่ ระบบขนส่งอัจฉริยะ ระบบไฟจราจรอัจฉริยะ ระบบมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ระบบจัดการขยะอัจฉริยะ ระบบท่องเที่ยวอัจฉริยะ และระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ

“6 บริการเหล่านี้จะแก้ไขปัญหาหลักของภูเก็ต เช่นระบบขนส่งอัจฉริยะ ระบบไฟจราจรอัจฉริยะ จะสามารถเพิ่มตัวเลือกให้นักท่องเที่ยวเดินทางในภูเก็ตได้หลากหลาย ลดความหนาแน่นของการจราจรในตัวเมือง ขณะที่ระบบมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเตรียมพร้อมรับมือปัญหาไฟกระชากได้ดีขึ้น ระบบจัดการขยะอัจฉริยะสามารถจัดการกับขยะโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้เต็มที่ รวมถึงระบบท่องเที่ยวอัจฉริยะ และระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะจะทำให้มั่นใจว่าประสบการณ์ที่ได้รับของนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่นเป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย ไร้กังวล” ส่วนหนึ่งของบทสรุปรายงานระบุ

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ยอมรับว่ารายงานนี้เกิดขึ้นบนงบประมาณของหัวเว่ยเอง โดยชื่นชมว่ารายงานนี้คือครั้งแรกที่มีการจัดทำแผนเพื่อการพัฒนาภูเก็ตเป็นสมาร์ทซิตี้แบบสมบูรณ์ เบื้องต้นยังไม่มีแผนขยายไปทำรายงานเชิงลึกเรื่องสมาร์ทซิตี้ที่จังหวัดอื่น แต่เชื่อว่ามีบางส่วนที่สามารถนำไปปรับใช้ในหลายจังหวัด แต่ก็ยังคงมีเนื้อหาที่ต่างไปในแต่ละเมือง

“ทางภูเก็ตอาจเป็นท่องเที่ยว แต่เมืองทางเหนืออาจเน้นเรื่องการเกษตร หรือทางเมืองอื่นอาจดูเรื่องการเคลื่อนย้ายของแรงงานในพื้นที่ ผมเชื่อว่ารายงานนี้จะปรับใช้กับเมืองอื่นได้บางส่วน แต่โซลูชันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับเมืองด้วย ทั้งหมดนี้ DEPA จะไม่ลงทุนเอง แต่จะสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือ”
ชาญชัย ถนัดค้าตระกูล
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการพัฒนาเมืองอัจฉริยะแล้วใน 6 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น และอีก 3 จังหวัดในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยนายชาญชัย ถนัดค้าตระกูล หัวหน้าสำนักงาน บริษัท โรแลนด์ เบอร์เกอร์ จำกัด ประเทศไทย กล่าวว่าสถิตินักท่องเที่ยวภูเก็ตขณะนี้คือ 14 ล้านคนต่อปี แต่จำนวนประชากรที่ลงทะเบียนเป็นผู้อยู่อาศัยในพื้นที่มีเพียง 4 แสนคน ทำให้งบประมาณที่ภูเก็ตได้รับจัดสรรตามจำนวนประชากรนั้นไม่สามารถตอบโจทย์ความแออัดของผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ กลายเป็นความจริงที่ตอกย้ำว่าหากโครงการสมาร์ทซิตี้สำเร็จที่ภูเก็ต ก็จะสามารถยกระดับเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ในภาพรวมได้ชัดเจน

แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่ารายงานนี้มีเนื้อหาหลายส่วนคล้ายคลึงกับแผนการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว นายประชา อัศวธีระ ผู้อำนวยการเขตพื้นที่ภาคใต้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระบุว่าข้อมูลใหม่ที่ “ว้าว” ที่สุดจากรายงานเชิงลึกของหัวเว่ยคือการตอกย้ำความสำคัญของแพลตฟอร์มข้อมูล ซึ่งจะสำคัญมากในการสร้างสมาร์ทซิตี้ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงมากที่งบลงทุนสมาร์ทซิตี้ส่วนใหญ่ของภูเก็ตถูกใช้ไปกับการสร้าง Data Platform อย่างเต็มรูปแบบ
ประชา อัศวธีระ
“เราจะต่อยอด Data Platform จากที่ทำไว้แล้ว ขณะนี้เราเริ่มเก็บข้อมูลที่ระดับหน่วยงานท้องถิ่น เทศบาล ที่กำลังจะทำคือการเก็บข้อมูลจากจุดบริการไว-ไฟฟรี 1,000 จุด, เซ็นเซอร์จับป้ายทะเบียนรถ และข้อมูลท้องถิ่นจากอุปกรณ์ IoT ที่ขณะนี้มีราว 6 แสนตัวทั่วภูเก็ต” ประชากล่าว “ข้อมูลนี้จะถูกปรับเข้ากับแผนใหม่หลังจากที่เราดำเนินการตามแผนเดิมมานาน 3 ปี รายงานนี้จะทำให้เราทบทวนและเปลี่ยนแปลงจากแผนเดิม”

อย่างไรก็ตาม ประชาย้ำว่ารายงานนี้จะเป็นแหล่งข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะ DEPA จะนำข้อมูลจากงานวิจัยอื่นเช่น ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว การพัฒนาภูเก็ตจะโฟกัสไม่หนีจากการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ในภาพรวม ประเทศไทยมีเป้าหมายเมืองอัจฉริยะนำร่อง 7 จังหวัด 10 พื้นที่ในปีที่แล้ว (ถือเป็นปีแรก) ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น กรุงเทพฯ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สำหรับปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ 2 จะขยายไปสู่ 24 จังหวัด 30 พื้นที่ และภายใน 5 ปี (2563 - 2565) จะขยายไปทั่วประเทศ 77 จังหวัด 100 พื้นที่ให้ได้.
(จากซ้ายไปขวา) นายประชา อัศวธีระ ผู้อำนวยการเขตพื้นที่ภาคใต้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, ผศ.ดร. ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, นายเติ้ง เฟิง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ประเทศไทย  และนายชาญชัย ถนัดค้าตระกูล  หัวหน้าสำนักงาน บริษัท โรแลนด์ เบอร์เกอร์ จำกัด ประเทศไทย ร่วมพิธีเปิดตัวรายงานเชิงลึก “Smart City Framework and Guidance for Thailand: แผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในจังหวัดภูเก็ต 2019”  ในงาน ASEAN Smart Cities Network Conference & Exhibition 2019


กำลังโหลดความคิดเห็น