xs
xsm
sm
md
lg

เอ็น-สแควร์ อีคอมเมิร์ซ เร่งบุกตลาดอาเซียน รับอี-คอมเมิร์ซ โต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เอ็น-สแควร์ อีคอมเมิร์ซ สตาร์ทอัป พันธุ์ไทย ชูเทคโนโลยีแพลตฟอร์มขายของออนไลน์รุกตลาดอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคอาเซียน พร้อมรุกตลาด มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย หลังพบยอดขายในไทยปี 2561 พุ่ง 735 ล้านบาท จากสินค้ากว่า 60 แบรนด์ คาดสิ้นปี 2562 รายได้ 1,400 ล้านบาท เดินหน้าระดมทุนเป็น Series A ภายในสิ้นปีนี้ หวังลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ และซื้อกิจการแบรนด์เล็กและกลางทำตลาดเพิ่มเติม

นายนัฐพล บุญภินนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น-สแควร์ อีคอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบบออนไลน์ กว่า 60 แบรนด์ โดยมีสินค้าแบรนด์ตัวเอง 3 แบรนด์ ได้แก่ โฮมฮัก (HomeHuk) สินค้าของใช้ภายในบ้าน, เอ็กซ์ทีฟโปร (xtiveProX สินค้ากีฬา และ 8 Days สินค้าเสื้อผ้าแฟชัน คิดเป็นสัดส่วน 30% ที่เหลือ 70% เป็นการนำแบรนด์สินค้าชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศมาจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซที่มีอยู่แล้วในตลาด อาทิ ช้อปปี้ ลาซาด้า เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีแผนในการนำสินค้าเอสเอ็มอีของคนไทยมาทำตลาดออนไลน์ด้วย ซึ่งล่าสุดได้ตกลงจะนำสินค้าผลไม้อบแห้ง แบรนด์ กรีนเดย์ มาทำตลาดออนไลน์ โดยเจ้าของแบรนด์คิดว่าการทำตลาดออนไลน์จะสามารถรู้พฤติกรรมของผู้บริโภคและรู้ว่าพื้นที่ไหนมีความต้องการสูงเพื่อวางแผนในการเปิดสาขาในพื้นที่ต่างๆได้ในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัทเริ่มขายสินค้าออนไลน์ด้วยการสั่งผลิตไม้ถูพื้นโดยตรงมาจากประเทศจีนด้วยยอดขายเพียง 29 ออเดอร์ต่อเดือน แต่บริษัทมองเห็นโอกาสของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่ยังมีผู้เล่นในตลาดน้อยขณะที่ตลาดกลับเติบโตแบบก้าวกระโดด จึงมุ่งมั่นพัฒนาจนได้สร้างแบรนด์ของใช้ในบ้าน ภายใต้แบรนด์ “โฮมฮัก” (HomeHuk) ซึ่งได้กลายมาเป็นแบรนด์ชั้นนำในกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้านบนตลาดออนไลน์ที่ได้ขายสินค้าไปยังลูกค้าแล้วกว่า 1 ล้านราย

จนกระทั่งมีการพัฒนาต่อกลายเป็น บริษัท เอ็น-สแควร์ อีคอมเมิร์ซ และเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่มีสินค้าหลากหลายมากที่สุด จนทำให้รายได้รวมของกลุ่มบริษัทปี 2561 พุ่งสูงถึง 735 ล้านบาท ด้วยความยั่งยืนที่กำไรสุทธิ 37 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 246% ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558

ดังนั้นในปีนี้ จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายในสิ้นปี 2562 ในประเทศไทย จะมีมูลค่ามากกว่า 1,400 ล้านบาท พร้อมขยายกิจการต่อยอดบริษัทลูกในมาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ อีกทั้งวางแผนเปิดตลาดใหม่ที่เวียดนาม และอินโดนีเซียภายในสิ้นปีด้วย

“ตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยส่วนแบ่งของยอดขายอีคอมเมิร์ซต่อยอดค้าปลีกโดยรวมยังอยู่เพียง 3% ซึ่งยังต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศจีนที่อยู่ที่ 30% และประเทศสหรัฐอเมริกาที่อยู่ที่ 10% จึงเห็นได้ว่าโอกาสการเติบโตในภูมิภาคนี้ยังมีอีกมาก ทั้งนี้ปัจจัยที่ผลักดันให้ตลาดเติบโตส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของอีมาร์เก็ตเพลสที่รวดเร็วในช่วงสามปีที่ผ่านมา และยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง” นายนัฐพล กล่าว

สำหรับเหตุผลที่บริษัทเติบโตได้แบบก้าวกระโดด ไม่ติดลบเกิดจากบริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจ ทั้งระบบการจัดการคำสั่งซื้อผ่านอีมาร์เก็ตเพลสและโซเชียลมีเดียแบบเรียลไทม์ (Omni-channel ERP system) ที่ทำให้คลังสินค้า และการจัดการสต๊อกมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการใช้ประโยชน์จากระบบ Big Data เพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคบนตลาดอีคอมเมิร์ซมากขึ้น เช่น การวางแผนโปรโมชั่นและราคา การวางแผนจัดชุดสินค้า (Bundle) การบริหารปริมาณสินค้าคงคลังให้เพียงพอในช่วงแคมเปญใหญ่ รวมถึงการโฆษณาออนไลน์ให้ตรงกับกลุ่มผู้ซื้อ

และจากเทรนด์ Social Commerce หรือ เทรนด์การซื้อ-ขายสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ค, อินสตราแกรม และไลน์ ซึ่งมีส่วนแบ่งถึง 51% ของการขายออนไลน์ทั้งหมด บริษัทเห็นถึงโอกาสในการเติบโตจึงได้คิดค้นและพัฒนา แชทบอทปัญญาประดิษฐ์ (AI Chat Bot ) เพื่อช่วยในการขายสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียตั้งแต่การสนทนากับลูกค้า รับคำสั่งซื้อ จนถึงการเชื่อมต่อกับคลังสินค้าและบริษัทขนส่งสินค้าในระบบเดียว ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าทำให้ภายในครึ่งปีแรกของ ปี 2562 แชทบอทปัญญาประดิษฐ์ของเอ็น-สแควร์ สร้างยอดขายได้มากกว่า 200,000 คำสั่งซื้อ ซึ่งในครึ่งปีหลังบริษัทจะเพิ่มช่องทาง Social Commerce ให้กลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มสำคัญที่สามารถสร้างยอดขายให้กับธุรกิจของบริษัทและคู่ค้าที่บริษัทบริหารจัดการอยู่ให้เติบโตขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

นายนัฐพล กล่าวว่า บริษัทถือเป็นสตาร์ท อัป ที่อยู่ได้ด้วยตนเอง สร้างกำไรเองก่อนที่จะระดมทุน เมื่อธุรกิจมีการเติบโตที่ดี บริษัทก็ตั้งเป้าในการระดมทุนเพื่อเป็นสตาร์ทอัประดับซีรีส์เอภายในสิ้นปีนี้ด้วย เพื่อนำเงินที่ได้ไปต่อยอดในการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆในการทำตลาด และนำเงินไปซื้อกิจการของแบรนด์ขนาดเล็กและขนาดกลางมาทำตลาดเพิ่มเติม


กำลังโหลดความคิดเห็น