ช่วงปีที่ผ่านมา เอไอเอส หันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจองค์กรมากขึ้นจนทำให้ปัจจุบันธุรกิจองค์กรสามารถสร้างรายได้เป็นสัดส่วนเกิน 10% ให้กับเอไอเอส และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 15% ภายในสิ้นปีนี้ก่อนที่ในอนาคตมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 30-40% ต่อไป
โดยผู้ที่เข้ามาขับเคลื่อนให้ธุรกิจองค์กรของเอไอเอส เติบโตในระดับ 2ดิจิต หรือเกิน 10% ในปีที่ผ่านมาคือ 'ยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล' หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ที่เชื่อมั่นว่าธุรกิจองค์กรจะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของบริษัทในอนาคตพร้อมกับการมาของ5G
กลยุทธ์สำคัญที่กลุ่มลูกค้าองค์กรของเอไอเอส ยึดถือในปีนี้คือการ Synergy บริการระหว่างคอนซูเมอร์ และองค์กรธุรกิจเข้าด้วยกัน ตามวิสัยทัศน์หลักขององค์กรในการผลักดัน Digital for THAIs
ในฝั่งของคอนซูเมอร์ เอไอเอส มีการให้บริการดิจิทัลไลฟ์แก่ผู้บริโภคกว่า41 ล้านคน ที่ประกอบด้วยธุรกิจโมบาย ฟิกซ์บรอดแบนด์จาก AIS Fibreวิดีโอคอนเทนต์ผ่าน AIS Play และ Playbox และระบบเพย์เมนต์ Rabbit LINEPay
ส่วนในฝั่งของสายธุรกิจไอซีที และดิจิทัล แพลตฟอร์ม สำหรับองค์กรธุรกิจเอไอเอส จะมีบริการที่หลากหลายกว่าครอบคลุมใน 5 ส่วนสำคัญๆ ประกอบไปด้วยการให้บริการเครือข่ายไฟเบอร์ออปติกที่ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 1.6แสนกิโลเมตร ตามด้วยธุรกิจ IoTที่เริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นจากการนำไปประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจต่างๆ โดยในจุดนี้เอไอเอส ถือเป็นผู้ให้บริการที่มีพันธมิตรที่เข้าร่วมในโครงAIAP (AIS IoT Alliance Program) มากที่สุดในไทย
นอกจากนี้ ก็จะมีในส่วนของธุรกิจให้บริการโซลูชันสำหรับการทำดิจิทัล ทรานฟอร์เมชันให้แก่องค์กรธุรกิจ ด้วยการนำผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ ภายในเครือข่ายไปนำเสนอ จนถึงการให้บริการคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์จากธุรกิจของ CSL
สุดท้ายคือในขาของการเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ด้วยการนำเสนอ AIS BIZ Up ที่เป็นโครงการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการรวมถึงนำเสนอโซลูชันต่างๆ ที่เหมาะสมกับธุรกิจ SMEs
'ปัจจุบันมีองค์กรธุรกิจใช้งาน Fibre กว่า3 หมื่นราย และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงในส่วนของธุรกิจ IoTมีพันธมิตรหลายรายเริ่มสนใจแพลตฟอร์ม และเริ่มนำอุปกรณ์ IoTไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น'
เป้าหมายของธุรกิจองค์กรในปีนี้คือการสร้างรายได้ราว 1.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นรายได้จากสัดส่วนธุรกิจของเอไอเอสราว 15% ซึ่งในจุดหนึ่งก็ถือเป็นความท้าทายที่สำคัญเพราะด้วยฐานของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น ทำให้การรักษาอัตราการเติบโตที่ใกล้เคียงเดิมทำได้ยากขึ้น
เพียงแต่ว่าในระยะยาวแล้ว เอไอเอส มองว่า ธุรกิจองค์กรจะกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ระยะยาวให้แก่องค์กรได้ ประกอบกับอยู่ในช่วงที่เอไอเอสสามารถทรานฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลได้แล้ว จึงเริ่มนำองค์ความรู้ออกไปช่วยเหลือธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้ปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัลด้วย
ก่อนหน้านี้ ยงสิทธ์ เคยให้ข้อมูลว่า ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เชื่อว่าธุรกิจองค์กรของเอไอเอส จะสามารถสร้างรายได้ขึ้นมาเป็นสัดส่วนราว30-40% เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วกับสิงเทลในสิงคโปร์ ที่มีการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากองค์กรธุรกิจต่อเนื่อง
***จุดเปลี่ยนสำคัญคือ 5G
ไม่ใช่แค่ในฝั่งของคอนซูเมอร์เท่านั้นที่เฝ้ารอเทคโนโลยี 5G กันอยู่ เพราะในความเป็นจริงแล้วภาคธุรกิจจะได้รับประโยชน์จาก 5G อย่างมหาศาลในรูปแบบของ Digital Revolution Networkเนื่องจากช่วยให้การเชื่อมต่อผ่านโมบายทำได้เร็วมากขึ้น
'ในทางเทคนิคแล้วการเชื่อมต่อ 5Gจะช่วยให้สามารถทำความเร็วในการเชื่อมต่อไปได้ถึง 20 Gbpsในขณะที่จำนวนดีไวซ์ที่เชื่อมต่อภายในพื้นที่หลักหมื่นในยุค 4G จะเพิ่มไปเป็นหลักล้านดีไวซ์ใน 1 ตารางกิโลเมตร'
ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยี 5Gจะเข้ามาทำลายข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนจุดที่จะเชื่อมต่อได้ รวมถึงตอบสนองในเรื่องของความหน่วง ที่ลดมาเหลือในระดับ 1 ใน 1000 ของวินาที (1ms) จากในยุค 3G/4G อยู่ที่ระดับ100 ms
'5G จะไปอยู่ในธุรกิจต่างๆ ในทุกมิติของชีวิตจะมี 5G มาเกี่ยวข้อง ปฏิเสธไม่ได้ว่า 5G จะมาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก และช่วยให้ก้าวทันดิจิทัลมากขึ้น แม้แต่หลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ที่ 4Gใช้ได้แล้วแต่ยังไม่เต็มที่' ไม่ว่าจะเป็นการที่ปัจจุบัน 4G ทำ VDO Conference ได้ แต่ในอนาคตถ้าเป็นยุค 5G จะสามารถทำเป็น Virtual Realityได้ไม่ต่างกับอยู่ในสถานที่จริง ในส่วนของรถยนต์จากแค่ติดตามและส่งข้อมูลความเคลื่อนไหว ก็กลายเป็นใช้ควบคุมได้
ยงสิทธิ์ เชื่อว่า 5G จะกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญภายใน 1-2 ปีข้างหน้า และปัจจุบันเอไอเอส ก็มีคลื่นความถี่ 700 MHz ที่สามารถนำมาให้บริการ 5Gได้ และกสทช. ก็มีแผนที่จะเปิดประมูลคลื่น 3.5 ,3.6 และ 26 GHzในอนาคตอันใกล้นี้
***ขยาย IoT ให้ครบอีโคซิสเตมส์
อีกหนึ่งธุรกิจที่เอไอเอส พยามผลักดันให้เกิดขึ้นภายในกลุ่มธุรกิจองค์กรคือการให้บริการ IoT ในรูปแบบของโซลูชันแบบครบวงจรโดยการให้บริการแบบอีโคซิสเตมส์ จำเป็นตั้งมีทั้งดีไวซ์ เครือข่าย แพลตฟอร์ม และโซลูชันการใช้งานที่หลากหลาย
ทำให้ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยปัจจุบันเริ่มจากธุรกิจประกันภัยที่มีการนำเซ็นเซอร์ IoTไปใช้เพื่อช่วยติดตามรถยนต์ จนถึงการแจ้งเตือนเมื่อมีการสตาร์ทรถ หรือดับรถ ของประกันรถยนต์ประเภทเปิด-ปิด อย่างความร่วมกับทางประกันภัยไทยวิวัฒน์ในการนำ NB-IoT Motor Trackerในรูปแบบของ UBI (Usage Based Insurance) นำอุปกรณ์ NB-IoTเข้าไปติดตั้งให้ลูกค้าที่ใช้ประกันภัยรถยนต์ของไทยวิวัฒน์
เมื่อสตาร์ทรถยนต์ระบบจะทำการแจ้งเตือนไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เพื่อทำการเปิดความคุ้มครอง ตามรูปแบบในการให้บริการของประกันรถเติมเงินตามแนวคิดในการคุ้มครองเฉพาะเวลาที่ขับรถยนต์
แต่ไม่ใช่แค่ในธุรกิจประกันภัยเท่านั้น ที่เริ่มมีการนำโซลูชัน IoT ไปใช้ เพราะปัจจุบันเริ่มมีโครงการหมู่บ้านจัดสรร นิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนสนามบิน ที่ต้องการนำ IoT ไปใช้งาน อย่างในหมู่บ้านจัดสรรอุปกรณ์ IoT จะอยู่ในรูปแบบของสมาร์ทโฮม รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านอย่างกล้องวงจรปิด อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ตรวจจับการเปิดประตู-หน้าต่าง เพื่อใช้ในการส่งสัญญาณเตือนภัย
ส่วนในนิคมอุตสาหกรรม ก็จะมีการนำเซ็นเซอร์ไปใช้เพื่อควบคุมการผลิต หรือแม้แต่ในสนามบินก็จะเน้นที่การติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อใช้การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจสอบผู้โดยสารในพื้นที่สนามบิน
'ตอนนี้เอไอเอส กำลังเข้าไปติดตั้งระบบให้สนามบินอู่ตะเภาในรูปแบบของการพัฒนาเป็นSmart Terminal และมีโอกาสที่จะขยายไปยังสนามบินอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การท่าอากาศยานไทย'