'สมชัย เลิศสุทธิวงศ์' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส จะนั่งบนเก้าอี้ซีอีโอ องค์กรแสนล้านอีกเพียง 3 ปี สิ่งที่เขาสร้างตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้และที่วางแผนวันข้างหน้า ไม่เพียงทำให้เอไอเอสเติบใหญ่อย่างมั่นคง ทั้งธุรกิจหลักในขณะนี้อย่างบริการโทรศัพท์มือถือ
ระยะกลางคือบริการฟิกซ์บรอดแบนด์ ,เอ็นเตอร์ไพรซ์ โซลูชัน และระยะยาวอย่างดิจิทัล เซอร์วิส ที่ต้องสร้างอีโคซิสเตมส์เป็นหัวใจหลัก
รวมทั้งยังคิดเผื่ออุตสาหกรรมอื่นๆในยุคดิจิทัล ที่ไม่เพียงมีโอกาสรอดจากการถูกรุกรานจากดิจิทัลแค่นั้น แต่ยังมีช่องทางเอาตัวรอดและพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสภายใต้คอนเซปต์ ถ้าเราทุกคนเป็นเครือข่าย ควบคู่ไปกับเติบโตแบบยั่งยืนของเอไอเอส เขายังถางทาง สร้างวิถีให้คนรุ่นใหม่ และที่สำคัญได้ปูเส้นทางเพื่อให้เกิด 'สมชัย2' จากพนักงานธรรมดา ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอได้ หากมีความสามารถมากพอ
*** 3 เรื่องเร่งทำ
สมชัย เล่าให้ฟังว่าในช่วงอีก 3 ปีก่อนเกษียณบนตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือเอไอเอส สิ่งที่อยากทำมากมี 3 เรื่องคือ เรื่องที่ 1สร้างอีโคซิสเตมส์ ที่เป็นดิจิทัลแพลตฟอร์ม สำหรับคนไทยให้ได้ วันนี้เอไอเอส มีคอนเน็กชั่นเชื่อมต่อกับลูกค้า 41 ล้านเลขหมาย มีข้อมูล (data) มหาศาล โดยเฉพาะรู้จักพฤติกรรมผู้บริโภค ถ้าสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์(utilize) ระหว่างคอนเน็ก ชั่น กับข้อมูล ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว และลูกค้าต้องยินยอมด้วย เอไอเอสในฐานะพี่ใหญ่ในวงการก็จะสามารถช่วยอุตสาหกรรมอื่นๆได้
'3ธุรกิจที่จะเกิดขึ้นก่อนจากคอนเซปต์นี้ คือ1.ประกันภัย เกิดแน่ๆ 2.ดิจิทัล แอดเวอร์ไทซิ่ง และ 3.นาโนไฟแนนซ์ '
ธุรกิจประกันภัย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เร็วที่สุด เพราะได้ประโยชน์ในแง่การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดต้นทุนมหาศาล จากเดิมที่ต้องมีตัวแทนนายหน้า ต้องมีคอลเซ็นเตอร์ เข้าหาลูกค้าซึ่งอาจโดนถูกคนบ้างหรือไม่โดนบ้าง แต่ถ้ามาใช้คอนเน็กชั่นกับข้อมูลพร้อมการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) จะถูกและตรงคนเลย อย่างลูกค้าอยู่สนามบินกำลังจะเดินทาง ก็สามารถส่งข้อมูลการประกันไปให้ซึ่งต้นทุนต่ำมาก หากลูกค้าจะซื้อก็คลิกบนมือถือได้เลย
'จุดแข็งคือ ผมหักเงินได้ถ้าเป็นพรีเพด ผมบิลลิ่งได้ถ้าเป็นโพสต์เพด คือ คนจะเดินทาง เสนอประกัน 100 บาทคุ้มครอง 3 แสน เอไอเอสทำ 3 อย่างคือ ส่งโปรดักส์ (product information)ไปให้ลูกค้า ถ้าลูกค้าสมัคร ก็เก็บเงินให้'
ด้านดิจิทัล แอดเวอร์ไทซิ่ง เอไอเอสกำลังทำงานร่วมกับทีวีดิจิทัลช่องใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งอาการไม่ดีนักจากการถูกรุกรานด้วยดิจิทัล คนเปลี่ยนพฤติกรรมจากนั่งเฝ้าหน้าจอทีวี ไปดูบนจอมือถือ ตัวเลขสมมติ อย่างเช่นอดีตที่เคยขายโฆษณาได้นาทีละ 5 แสนบาท ตอนนี้ 3 แสนบาทก็ยากแล้ว
แต่ตอนนี้เอไอเอสมีแพลตฟอร์มผ่าน AIS Play และ AIS Box รายการเดียวกัน ในนาทีที่โฆษณาบนหน้าจอโทรทัศน์เป็นสินค้าแมส ประเภทใดประเภทหนึ่ง นาทีเดียวกัน สามารถใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เอไอเอสโฆษณาสินค้าเฉพาะกลุ่ม เป็นนิชเซ็กเมนท์ เข้าไปยังกลุ่มลูกค้าเฉพาะ อย่าง ถ้าเป็นกลุ่มผู้ชายที่ชอบใช้ชีวิตท่องราตรีก็สามารถโฆษณาถุงยางอนามัย เข้าไปเก็บเพียง 5 หมื่นบาทหากขายได้ 10 รายเป็นเซ็กเมนท์ย่อยๆ ก็ได้อีก 5 แสนบาทแล้ว รวมกับ 3 แสนบาทกลายเป็น 8 แสนบาทแล้ว
'เรื่องเทคโนโลยีไม่ยาก แต่ถ้าจะให้สำเร็จต้องมี Effectiveness จริงๆ เหมือนยูทูป หรือเฟซบุ๊ก ดิจิทัล แอด ผมทำแน่แต่บริษัทโฆษณาจะซื้อเหมือนที่ผมบอกมั้ย ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมคนดูจริงหรือเปล่า ทำให้อุตสาหกรรมที่จะแย่แล้วมันไม่แย่ ดิจิทัลเข้ามาเราต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์'
ส่วนเรื่องนาโนไฟแนนซ์ แบงก์มีไลเซนต์ เอไอเอสแค่ไปหาลูกค้า แบงก์เป็นคนปล่อยกู้ แต่บิสซิเนสโมเดลต้องคุยกัน เอไอเอสรู้จักลูกค้า ว่าเติมเงินอย่างไร ไปเติมกับใคร มีเอเจนท์ตรงไหนแล้วแบงก์ต้องไปแต่งตั้งเป็นแบงกิ้งเอเย่นต์ เพราะต้องไปเอาเงินสดมา 3พัน 5 พัน ถึงเวลาไปผ่อน เป็นจุดดรอปพอยต์ เอเย่นต์หรือดีลเลอร์ของเอไอเอส แต่นาโนไฟแนนซ์ท้ายสุดต้องคุยรายละเอียดต่างๆกับแบงก์ เรื่อง หนีเสี้ย การทวงหนี้ ต้องใช้เวลา
'ดิจิทัลแพลตฟอร์มเป็นสิ่งที่เราเตรียมไว้ช่วยอุตสาหกรรมอื่นๆให้อยู่รอดได้ นับจากนี้ไปเอไอเอสอยากสร้างดิจิทัล อีโคซิสเตมส์ ภายใต้คอนเซปต์ ถ้าเราทุกคนคือเครือข่าย'
ยังไม่รวมถึงที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ เรื่อง IoT แพลตฟอร์ม ที่เอไอเอสทำคือ AIAP (Advance IOT Alliance Partner) เอไอเอสเปิดโครงการปี 2018 มีพาร์ทเนอร์ 70 ราย ต้นปี 2019นี้ มี 1,500 ราย ตรงนี้สำคัญเลย นอกจากเอไอเอสสร้างแพลตฟอร์ม แล้วพวกซัปพลายเออร์ หรือ คนธรรมดาที่ผลิตดีไวซ์ต่างๆ จำนวนมาก พวกนี้มาเชื่อมกับเอไอเอสแล้ว สมมติ IOT เกิดมันจะมีของจากรายย่อยๆเข้ามาขาย มันมีแพลตฟอร์มที่กำลังทำเรื่องซิงกูลาริตี้ เพื่อการเชื่อมต่อ ทันทีที่ IOT เกิด เอไอเอสจะมีพาร์ทเนอร์ 1,000 กว่าคนแล้ว โพรวายของให้ได้ ไม่เหมือนสมัยก่อนตอนมือถือมีไม่เกิน 10 ยี่ห้อ แต่ของ IOT เอไอเอสมีเป็นพัน
เรื่องที่2 วันนี้เอไอเอสประสบความสำเร็จมากในเชิงธุรกิจ เป็นบริษัทที่ 1 ต.ค.จะครบ 30 ปีแล้ว เอไอเอสรักษาความเป็นผู้นำมาตลอด มีผลกำไรที่ผู้ถือหุ้นพอใจ การแข่งขันรุนแรงยังไง วิกฤตการไม่มีคลื่นความถี่ให้บริการ เอไอเอสผ่านมาหมดแล้ว สามารถจัดการตรงนี้ได้ แต่สิ่งที่อยากทำเพิ่มอีก 2 แกนคือแกนสังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เป็นการทำธุรกิจแบบยั่งยืน ในแกนสิ่งแวดล้อมคงทำอะไรไม่ได้มาก เพราะเอไอเอสไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมการผลิตที่มีของเสีย แต่เอไอเอสทำในสิ่งที่ทำได้ อย่าง กรีนเน็ตเวิร์ก ใช้โซล่าเซลในพื้นที่ทำได้ เรื่องเสากลมกลืนธรรมชาติ เรื่องอี-เวสต์
แต่เรื่องที่อยากทำมากๆ คือเรื่องสังคม การที่ดิจิทัลเข้ามาเป็นประโยชน์มหาศาล ถ้าใช้ไม่ถูกก็มีโทษ อย่างเรื่องเกม เล่นจนบ้าคลั่งหรือเรื่อง Digital Bully เอไอเอสอยากทำให้สังคมในการใช้ดิจิทัลให้ดีขึ้น มีการจ้างผู้กำกับระดับต้นๆมาทำหนังเพื่อสร้าง Awareness รวมทั้งยังทำเรื่อง DQ มีแบบทดสอบให้เด็กเพื่อสร้างความฉลาดด้านดิจิทัลให้เกิดขึ้น
เรื่องที่ 3 คือการพัฒนาคน ซีอีโอเอไอเอส เชื่อว่ายุคดิจิทัลข้างหน้า ไม่ได้แข่งเรื่องเทคโนโลยี เรื่องบริการอีกต่อไป แต่จะแข่งกันเรื่องความเก่งของคน เอไอเอสเป็นเบอร์ 1 ไม่ใช่เพราะเงิน ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยี แต่เป็นเพราะคนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว คนของเอไอเอสเก่งและดี แต่ต้องไม่หยุดเรื่องการพัฒนา
'AIS Academyถึงเกิดขึ้น เราทำด้วยกัน 3 ส่วน เริ่มจากโปรแกรมที่ต้องเรียนรู้เป็น a must ผมเพิ่มมาอีกแกนสำหรับกลุ่มคุณสมบัติพิเศษหรือ Talent และหลักสูตรที่เราทำเองอย่าง ACT รวมทั้งเรายังมีแพลตฟอร์มอย่างเลิร์นดิ'
สมชัย ขยายความทั้ง 3 เรื่องว่า โปรแกรม a must เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว (ตั้งแต่สมัยสมประสงค์ บุญยะชัย เป็นเบอร์ 1 ของเอไอเอส) เป็นเรื่องที่ต้องเทรนตามเวลา ถ้าไม่เข้าโปรแกรมนี้ก็ไม่ได้โปรโมท แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคืออีกแกนหนึ่งที่ไม่ใช่ถึงเวลาต้องทำ แต่เป็นแกนที่ได้รับการอบรมตามคุณสมบัติที่พนักงานมี หรือ คุณสมบัติพิเศษ เช่น กลุ่มคนที่เป็นTalent ดาวเด่น ดาวรุ่ง เอไอเอส จะแบ่ง Talentออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น เป็นซิลเวอร์ ไดมอนต์ แพลทตินัม ตามลำดับความเก่ง แล้วเอไอเอสจ้าง ฮาเวิร์ด สแตนฟอร์ด จากอเมริกา และแมนเชสเตอร์ ยู จากอังกฤษ มาใส่หลักสูตรให้เลยเพื่อพัฒนาคนกลุ่มนี้นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรที่เอไอเอสจัดขึ้นเอง อย่าง ACT (Advance Creative Talent) ตอนนี้เป็นรุ่นที่ 3 แล้ว พนักงาน 1.2 หมื่นคน คุณอยากเรียนคุณต้องโชว์ว่าทำไมคุณจะได้เรียนก็ถ่ายคลิปเล่าเรื่องมา แต่ละรุ่นเรียนได้ 80 คน ได้ผลมาก ทำให้เด็กใหม่ๆเพิ่งเข้ามาเอไอเอส ได้มีโอกาสเรียนรู้กับผู้บริหารระดับสูงอย่าง VP, EVP เป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นมาโดยเฉพาะ เลือกเฉพาะคนที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามา ไม่ได้เข้ามาเรียนโดยตำแหน่ง
นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มที่ 3 เรียกว่า เลิร์นดิ เพราะ 2 อันแรกคน 1.2 หมื่นคนไม่พอรองรับ เลิร์นดิ เป็นแพลตฟอร์มที่รวมทุกหลักสูตรที่เอไอเอสจัด และไม่ติดไลเซนต์ ก็เอามาใส่ออนไลน์ทั้งหมด พนักงานที่ไม่เข้าข่ายเกณฑ์1 และ 2 ถ้าอยากเรียนรู้ก็เข้ามาดูได้ เรื่อง Self Learning เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้คนพัฒนา คนที่เรียนเยอะๆได้ประโยชน์ และยังมีโทเคน หรือ คอยน์ ให้คนใฝ่รู้ได้สะสม หากเข้าดูเยอะก็ได้โทเคนสะสมเพื่อไปแลกรางวัล ตั้งแต่ บัตรสตาร์บัค บัตรดูหนัง หรือ ทริปเที่ยวต่างประเทศ ในอนาคตการโปรโมทจะดูเรื่องพวกนี้ด้วยว่าเข้าไปตั้งใจเรียนรึไม่
'เป็น 3 อย่างที่ AIS Academyทำ และทำอย่างเข้มข้น เราใช้เม็ดเงินมาก จากเดิมเป็นหลักสิบล้าน แต่ตอนนี้เป็นหลักร้อยล้านแล้ว เพื่อสร้างบุคลากร'
เอไอเอสยังไม่ได้ทำแค่ข้างใน แต่ขยายไปข้างนอกด้วย อย่างปลายปีที่แล้วที่จัดAIS Academy for Thais เอาคนที่เกี่ยวกับดิจิทัล อย่างดิจิทัล ดิสรัปชั่น ,ดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่นมาบรรยาย ปีที่แล้วเอาคนจากเน็ตฟลิกซ์มา ต้นปีเอาคนจากกูเกิลมา และจัดที่เชียงใหม่ และ ขอนแก่นอีก เป็นลักษณะคิดเผื่อเพื่อสังคมไทย
'ผมอยากสร้างอีโคซิสเตมส์ให้เกิดซึ่งยากมาก เพราะต้องเอาหลายๆบริษัทเข้ามา ถ้าทำได้ธุรกิจ เศรษฐกิจโดยรวมมันจะไปได้หมด ทุกวันนี้ดิจิทัลมันดิสรัปอยู่แล้ว แต่เรายังมีแกนที่จะทำ การขยายธุรกิจแบบยั่งยืนในเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือการพัฒนาคน'
*** รอแจ้งเกิด 'สมชัย2'
เป้าหมายของซีอีโอ เอไอเอส วันนี้คือ กำลังสร้างทีม การพัฒนาคนทำไปเพื่อสร้างเจนเนอเรชั่นรุ่นต่อๆไป และเพื่อให้เกิด 'สมชัย2' ในวันข้างหน้า
'ผมจะประกาศล่วงหน้าเลยว่า ผมจะวางไว้ 2 เจนเนอเรชั่น พวกนี้จะต้องถูกเทรนเพื่อขึ้นมาตรงนี้ ไม่ต้องรอลุ้น จะต้องถูกวางไว้ อย่างอีก 3 ปี ผมเกษียณนะ ปีที่3 ผมจะถอยออกเลย แต่ผมยังอยู่ไปเป็นที่ปรึกษา แล้วให้คนนั้นขึ้น CEO เลย'
สมชัยย้ำว่าเป็นสิ่งที่ตั้งใจจะทำ ไม่อย่างนั้นมันเสี่ยงเกินไป แล้วมันจะกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เห็นโอกาสเปิดกว้างขึ้น ไม่ใช่ต้องรอให้คนนั้นเกษียณถึงขึ้น ถึงแม้จะเป็นแค่ 2 ปี หรือ3 ปีก็ตาม แต่ต้องทำให้เห็นตอนนี้