xs
xsm
sm
md
lg

จุดพลุ HPE Discover More Bangkok การันตีร่วมสร้าง “ไทยแลนด์ 4.0”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

(จากซ้าย) นายสุรชัย อรรถมงคลชัย ผู้จัดการธุรกิจไฮบริดไอที, นายพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) และ รศ.ดร. ชิต เหล่าวัฒนา
ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) หรือ HPE อัปเดทเทคโนโลยีเอ็นเตอร์ไพรส์หวังตอบโจทย์องค์กรยุคดิจิทัลทรานสฟอร์เมชั่น ดึง รศ.ดร. ชิต เหล่าวัฒนา โชว์วิสัยทัศน์โครงการออกแบบระบบควบคุมเมืองอัจฉริยะหรือ Smart City ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ผ่านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการจัดการข้อมูล Big Data ที่ได้ HPE เป็นพันธมิตร ฟันธงโครงสร้างพื้นฐานแบบผสมผสานหรือไฮบริดไอที (Hybrid IT) เป็นคำตอบสำหรับการพัฒนาและการแข่งขัน ที่หลายองค์กรกำลังพยายามหาเพื่อให้อยู่รอดในยุคไทยแลนด์ 4.0

นายพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) กล่าวในงานโชว์เคสโซลูชั่นระดับโลก “HPE Discover More Bangkok” ว่าด้วยวิสัยทัศน์ของ HPE ในการมุ่งมั่นที่จะเข้ามาช่วยสร้างสมดุลย์ของการใช้ชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยี ผ่านการเข้าไปมีส่วนช่วยให้องค์กรและธุรกิจประสบความสำเร็จในการปฏิรูปในยุคดิจิทัล เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของคนในการใช้ชีวิตในการทำงาน และผลประกอบการในเชิงธุรกิจไปพร้อมๆ กัน บริษัทจึงมีความร่วมมือในการพัฒนาประเทศตามแผนแม่บทไทยแลนด์ 4.0 หลายด้าน

“ทาง HPE Thailand เล็งเห็นความสำคัญของการทำวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ภายในประเทศ ตลอดจนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเติบโตของความต้องการเทคโนโลยี AI และ Big Data จึงร่วมมือกับสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในการพัฒนางานวิจัยเพื่อตอบสนองความต้องการเทคโนโลยี AI ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) โดยความร่วมมือนี้นอกจากจะนำไปสู่การผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี โท เอก และนักวิจัยที่มีศักยภาพในการสร้างระบบ AI ที่ประยุกต์ใช้งานได้จริงแล้ว ยังมีความจำเป็นอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งถูกวางไว้เป็น Smart City และ Digital Hub ในภูมิภาค ทั้งนี้ บริษัทฯ จะทำการสนับสนุนเทคโนโลยีชั้นสูงในการประมวลผลข้อมูล มีความปลอดภัยสูง ทันสมัยและทรงประสิทธิภาพมากสำหรับงาน เช่น AI และ Deep Learning และในอนาคตยังจะมีแนวทางในการขยายภาคความร่วมมือเพิ่มเติมทั้งด้านหลักสูตรร่วมกับคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ และศูนย์เคเอกซ์ (KX Knowledge Exchange for Innovation by Kmutt) มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี อีกด้วย”
รศ.ดร. ชิต เหล่าวัฒนา
รศ.ดร. ชิต เหล่าวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ด้านการพัฒนาการศึกษาบุคลากรและเทคโนโลยี คณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Human Development Center: EEC HDC) และผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “บิดาแห่งวิทยาการหุ่นยนต์ไทย” กล่าวว่า AI และ Big Data เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Industry 4.0) ทั้งยังเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศทั่วโลก ดังนั้น ประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนา AI และ Big Data เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

“ถือเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะที่กำลังจะเกิดขึ้นในพื้นที่ EEC โดยความร่วมมือกับ HPE ในครั้งนี้ถือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาทั้งในส่วนของระบบไอทีขั้นสูง และการพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในด้าน AI และ Big Data อีกด้วย”
นายสุรชัย อรรถมงคลชัย ผู้จัดการธุรกิจไฮบริดไอที
ในแง่ของเทรนด์ในการก้าวสู่ยุค Edge to Cloud และไฮบริดไอทีซึ่งกำลังเป็นประเด็นในวงการเทคโนโลยีเอ็นเตอร์ไพรส์ นายสุรชัย อรรถมงคลชัย ผู้จัดการธุรกิจไฮบริดไอที บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่าด้วยหลักการของ Edge to Cloud ที่ตั้งอยู่บนหลักของการประมวลผลแบบไม่รวมศูนย์ (Distributed) บริษัทมองว่า ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป คำว่า Edge หรืออุปกรณ์ปลายทางจะมีความสำคัญขึ้นมากอย่างมีนัยยะ ด้วยการประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพและรวดเร็ว ได้ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ทันต่อการตัดสินใจก่อนที่จะเชื่อมต่อและส่งการประมวลผลกลับเข้าสู่คลาวด์

“ที่ผ่านมา HPE ได้วางจุดยืนของเราอย่างชัดเจนในเรื่อง Edge to Cloud โดยเราได้มีการวางแผนการลงทุนราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีและการให้บริการในระยะ 4 ปีข้างหน้านี้ โดยการลงทุนมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถนำข้อมูลจากอุปกรณ์ปลายทางไปสู่คลาวด์ ทั้งนี้ ข้อมูลเหล่านี้ล้วนสามารถนำมาวิเคราะห์กลั่นกรองนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางธุรกิจ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้งาน ด้วยการใช้ AI และ Machine Learning ในการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองการบริการได้อย่าง Real Time ด้วย เช่น Smart Hospital หรือ Autonomous Car เป็นต้น”

นอกจากนี้ จากสภาพแวดล้อมของการปรับตัวทางธุรกิจในยุคดิจิทัลทรานสฟอร์มเมชั่น ทำให้ HPE มองเห็นประเด็นสำคัญด้านความต้องการของระบบไอที โดยมองว่า โครงสร้างพื้นฐานแบบผสมผสาน หรือไฮบริดไอที (Hybrid IT) เป็นคำตอบสำหรับการพัฒนาและการแข่งขัน ที่หลายองค์กรกำลังพยายามหา ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างพับบลิคคลาวด์ (Public Cloud) ไพรเวทคลาวด์ (Private Cloud) และระบบแทรดดิชั่นแนล ไอที (Traditional IT) ส่วนผสมตรงนี้จะเป็นสิ่งที่ตัดสินว่าใครสามารถที่จะตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้ขนาดไหน

ภายในงาน HPE Discover More Bangkok มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่เช่น “HPE Primera” ซึ่งเป็น All Flash Storage รุ่นใหม่ที่รองรับ NVMe และ Storage-Class Memory (SCM) เป็นหลัก พร้อมสนับสนุนการใช้งานและเพิ่มความทนทานด้วย AI อีกทั้งยังมาพร้อมกับ 100% Availability Guarantee และความสามารถในการอัปเกรดระบบได้ต่อเนื่องโดยไม่มีวันตกรุ่น ยังมีระบบ “HPE SimpliVity” เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลให้ระบบสามารถทำนายปัญหา ประเมินการเติบโต ช่วยให้การดูแลรักษา Data Center เป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

ที่น่าสนใจคือ “HPE GreenLake” บริการด้านฮาร์ดแวร์ โซลูชั่น และควบคุมค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือนในรูปแบบของคลาวด์ตามการใช้งานจริง โดยงาน HPE Discover More Bangkok จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Accelerating Next” เพื่อพาองค์กรและธุรกิจไปสู่โจทย์ใหม่ในการลงทุนด้านระบบโครงสร้างไอที (IT Infrastructure) ตามแนวโน้มใหม่ของยุค Edge to Cloud เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา
รศ.ดร. ชิต เหล่าวัฒนา


กำลังโหลดความคิดเห็น