LINE เปิดเผยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาต่อจากนี้จะอยู่บนคอนเซปต์ ‘LINE สำหรับทุกไลฟ์สไตล์’ ในการเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการใช้ชีวิตของทุกคน พร้อมนำเสนอโครงสร้างใหม่ที่เชื่อมระหว่างโลกออฟไลน์ ฟินเทค และ AI เข้าด้วยกัน เพื่อให้การใช้งาน LINE กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันมากขึ้นอีก
จุงโฮ ชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE WOW ขึ้นกล่าวเปิดในงาน LINE Conference 2019 ซึ่งเป็นงานแถลงวิสัยทัศน์ประจำปีของ LINE ว่า ในปีนี้จะมีการยกระดับแพลตฟอร์ม LINE ขึ้นมาให้กลายเป็น ‘Life Infrastructure’ หรือเครื่องมือที่เข้ามาช่วยใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น
ภายใต้ 3 ส่วนสำคัญคือ การเชื่อมโลกออฟไลน์ให้มาอยู่บน LINE การพัฒนาแพลตฟอร์มทางการเงิน (FinTech) และการนำปัญญหาประดิษฐ์มาใช้งาน (AI) ที่จะย่อยออกมาเป็น 5 ส่วนธุรกิจคือ การสื่อสาร (Communication) คอนเทนต์ (Content) ความบันเทิง (Entertainment) อีคอมเมิร์ซ (Commerce) และเครื่องมือช่วยสื่อสารทางการตลาด (Marketing Solutions)
“ในช่วงที่ผ่านมา LINE ได้เข้ามาช่วยเชื่อมธุรกิจระหว่างออนไลน์ และออฟไลน์เข้าด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ LINE จึงต้องการยกระดับขึ้นเป็นการผสมผสานธุรกิจออนไลน์และออฟไลน์ให้เชื่อมต่อกันมากกว่าเดิม”
โดยภายในงาน LINE Conference 2019 ได้มีการเปิดเผยฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจออกมา เพียงแต่ว่าบริการส่วนใหญ่จะเริ่มจากให้บริการในประเทศญี่ปุ่นก่อน และบางบริการจะให้บริการเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น คล้ายกับบางบริการที่เริ่มให้บริการในไทยอย่าง LINE Man และ LINE TV
เริ่มกันจาก LINE Mini app เครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างแอปของร้านค้าไว้ภายใน LINE ได้สะดวกขึ้น โดยร้านค้าจะสามารถเลือกนำระบบสมาชิก คูปอง จองโต๊ะสำหรับร้านอาหาร ไปจนถึงช่องทางการขายสินค้าภายใน Mini app ได้ทันที
ถัดมาคือเรื่องของธุรกิจทางการเงิน ที่ LINE มองว่าในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปิดให้บริการของธนาคารที่ไม่ได้รองรับตลอด 24 ชั่วโมง การโอนเงินระหว่างบุคคลบางทียังมีค่าธรรมเนียม ทำให้มีการพัฒนา LINE Pay ขึ้นมา
ในปีนี้ LINE จะยกระดับการให้บริการ LINE Pay ให้กลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดสังคมไร้เงินสดได้ง่ายขึ้น ด้วยการนำระบบ LINE Score มาใช้งาน เพื่อปล่อยสินเชื่อรายย่อยให้ผู้ใช้งาน ด้วยการนำข้อมูลจากการใช้งานบริการต่างๆของ LINE มาพิจารณา พร้อมกับการเป็นพันธมิตรกับทาง วีซ่า (Visa) ในการให้บริการบัตรเครดิตเสมือนบน LINE Pay
ส่วนในมุมของ AI จากเดิมที่มีการพัฒนา Clova ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว ล่าสุดก็ต่อยอดขึ้นมาสู่ Duet ที่ผสมผสานการทำงานของ AI Chatbot เข้ากับระบบคำสั่งเสียงต่างๆ เพื่อนำมาใช้เป็นระบบสื่อสารอัตโนมัติที่พูดคุยกับคนได้จริง
เนื่องจากในญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องของแรงงานที่จะมาให้บริการ ดังนั้นบริการอย่าง Duet จะเหมาะกับร้านค้า และร้านอาหารที่ต้องการผู้ช่วยมาให้บริการข้อมูลสินค้า หรือรับจองโต๊ะอาหารเป็นต้น
ทั้งนี้ 3 บริการดังกล่าว จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ LINE อยู่ในทุกๆไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา จนถึงก่อนเข้านอน และกลายเป็นแอปพลิเคชันประจำตัวของผู้ใช้งานทุกคน
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดบริการใหม่ๆ แยกย่อยลงไปสำหรับแต่ละส่วนธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นระบบสนทนากลุ่มแบบใหม่ (Open Chat) ที่พัฒนาขึ้นจาก LINE Square เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างโปรไฟล์เฉพาะสำหรับการใช้งานแต่ละกลุ่มได้ตามความต้องการ และยังสามารถต่อยอดไปสู่การสนทนาร่วมกันระหว่างงานกิจกรรมต่างๆ
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนที่จะเริ่มให้บริการใช้งานสติกเกอร์แบบบอกรับสมาชิก (LINE Premium Stickers) ที่ให้ผู้ใช้จ่ายค่าใช้งานรายเดือน เพื่อเข้าถึงสติกเกอร์ทุกชิ้นที่อยู่บนแพลตฟอร์ม LINE โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อเฉพาะแต่ละสติกเกอร์อีกต่อไป เพียงแต่ว่าบริการนี้จะยังไม่เริ่มใช้งานในไทยปีนี้
ในส่วนของบริการวิดีโอคอนเทนต์ จะมีการเพิ่มระบบไลฟ์สด (LINE Live) เพื่อเป็นช่องทางให้บรรดาครีเอเตอร์มีช่องทางในการสื่อสารไปยังกลุ่มผู้ชมต่อไป และมีโอกาสที่จะร่วมกับพันธมิตรผู้ผลิตคอนเทนต์ต่างๆให้บริการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ผ่านแพลตฟอร์มได้ด้วย
อีกส่วนคือกลุ่มผู้ที่ใช้ LINE เป็นช่องทางในการสื่อสารทางการตลาด LINE มีแผนจะเปิดแพลตฟอร์ทโฆษณาเพิ่มเติม ในส่วนของ Smart Channel ด้วยการทำโฆษณาผ่านวิดีโอ และแพลตฟอร์มโฆษณาสำหรับสำนักพิมพ์ที่จะเปิดเผยรายละเอียดต่อไปในอนาคต
สุดท้ายในส่วนของแพลตฟอร์ม AI ทาง LINE ได้มีการนำเสนอ LINE Brain ขึ้นมาเป็นโซลูชันให้องค์กรที่สนใจ สามารถนำความสามารถของ Clova ไปใช้ในบริการต่างๆ โดยในช่วงแรกจะครอบคลุมแชทบอท แปลงเสียงเป็นข้อความ แปลงรูปภาพเป็นตัวอักษร