ภายในงานประชุมนักพัฒนาประจำปีของแอปเปิล หรือ Apple Worldwide Developers Conference 2019 (WWDC2019) นี้ ได้มีการประกาศความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะแยกระบบปฏิบัติการสำหรับ iPhone และ iPad ออกจากกัน
โดยใน iPhone และ iPod Touch จะได้เดินหน้าใช้งาน iOS 13 กันต่อในช่วงปลายปีนี้ จากที่ปัจจุบันผู้ใช้ iOS กว่า 85% ใช้งาน iOS 12 กันอยู่ และเมื่อเทียบกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 9 รุ่นล่าสุด พบว่ามีการใช้งานเป็นสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น
ส่วนผู้ใช้งาน iPad จะได้รับการอัปเดต iPad OS ที่มีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อพัฒนาให้ iPad สามารถรองรับการทำงานที่หลากหลายขึ้น พร้อมกับเพิ่มฟีเจอร์ในการใช้งานร่วมกับ macOS
นอกเหนือจาก iOS 13 และ iPadOS แล้วภายในงานนี้ยังมีการเปิดตัว tvOS สำหรับอุปกรณ์ Apple TV watchOS 6 สำหรับ Apple Watch macOS Catalina สำหรับอุปกรณ์ในตระกูล mac รวมถึงการเพิ่มเฟรมเวิร์กสำหรับการพัฒนา AR ให้แก่นักพัฒนาแอปพลิเคชัน
ส่วนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เปิดตัวในงานครั้งนี้คือ Mac Pro และหน้าจอ Pro Display XDR ที่วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 5,999 เหรียญ และ 4,999 เหรียญตามลำดับ
สำหรับรายละเอียดการอัปเดตฟีเจอร์ต่างๆไล่ตั้งแต่ tvOS 13 จะมีการเพิ่มการใช้งานสำหรับบุคคลในครอบครัว เปลี่ยนหน้าจอแสดงผลใหม่ให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น รองรับการใช้งาน Apple Music พร้อมแสดงเนื้อเพลงให้ร้องตาม
ภายใน tvOS 13 ยังรองรับบริการ Apple Arcade ที่เป็นบริการเล่นเกมแบบบอกรับสมาชิก โดย Apple TV 4K จะรองรับการเล่นเกมคู่กับรีโมทของ Xbox และ Playstation 4 ได้ด้วย
สำหรับ watchOS 6 มีการเพิ่มแอปที่ใช้งานบน Apple Watch โดยเฉพาะมากขึ้น พร้อมเปิด API ให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงการสตรีมเพลง วิทยุ พ็อดคาสท์ได้ เช่นเดียวกับการเปิดให้พัฒนาแอปสำหรับบน watchOS โดยเฉพาะ
ผู้ใช้ยังสามารถเข้าถึง App Store เฉพาะสำหรับแอปบน Apple Watch ที่สามารถค้นหา และดาวน์โหลดเพื่อติดตั้งได้ทันที รวมถึงการเพิ่มเสียงการแจ้งเตือน หน้าปัดนาฬิกาแบบใหม่ และแอปพื้นฐานอย่าง Audio Book อัดเสียง เครื่องคิดเลข ที่สามารถคำนวนและหารค่าอาหารกับเพื่อนได้ทันที
ส่วนแอปที่เกี่ยวข้องกับ Apple Watch อย่าง Health จะเปิดให้ผู้หญิงสามารถใช้ Cycle Tracking ในการบันทึกข้อมูลประจำเดือน พร้อมคาดการณ์วันที่จะมีรอบเดือน Hearing health ที่จะแจ้งเตือนเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีเสียงดังเกิน 90 เดซิเบล
แน่นอนว่า Apple ไม่ได้บันทึกเสียงสนทนาระหว่างที่ทำการฟังเสียงรอบตัวของคุณ รวมถึงข้อมูลที่ถูกบันทึกใน Healt Apps ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในเครื่องของคุณ และเปิดให้ผู้ใช้ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้
ถัดมาคือ iOS 13 จะเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานให้รวดเร็วขึ้น อย่างการปลดล็อก Face ID ทำได้เร็วขึ้น 30% มีการปรับขนาดของแอปบนสโตร์ให้เล็กลงถึง 50% และการอัปเดตแอปเล็กลง 60% ช่วยให้การเปิดใช้งานแอปเร็วขึ้น 2 เท่า
พร้อมไปกับการเพิ่ม Dark Mode ให้ใช้งานบน iOS มีการนำ QuickPath ระบบการป้อนข้อมูลบนคีย์บอร์ดแบบใหม่ที่ใช้การปาดนิ้วแทนการกดแป้นพิมพ์เสมือนมาใช้ เช่นเดียวกับความสามารถของเว็บเบราว์เซอร์ ซาฟารี ที่มีการปรับปรุงให้สะดวกขึ้น ระบบเตือนความจำที่หลากหลายมากขึ้น
มีการนำระบบ Machine Learning มาใช้กับแอปรูปภาพ เพิ่มฟีเจอร์ในการคัดกรองรูปที่คล้ายคลึงกัน และนำเสนอรูปที่ดีที่สุด ในการสร้างอัลบั้มเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต และสามารถย้อนดูเหตุการณ์ในปีที่ผ่านมาๆได้
การแชร์โลเคชัน จะปลอดภัยมากขึ้น โดยค่ามาตรฐานจะเปิดให้เข้าถึงเฉพาะเวลาที่เปิดใช้งาน และอนุญาตให้เข้าถึงเท่านั้น เมื่อเปิดใช้งานใหม่ก็จะมีการแจ้งเตือนการเข้าถึงอีก รวมถึงการป้องกันไม่ให้เข้าถึงการเชื่อมต่อบลูทูธ หรือไวไฟ
Sign in with Apple ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะเปิดเผยชื่อ หรือจะเลือกเข้าใช้งานผ่าน Apple ID ที่ทางแอปเปิลจะมีการเข้ารหัสเพื่อป้องกันไม่ให้แอป หรือบริการต่างๆ สามารถติดตามการใช้งานของผู้ใช้ได้ด้วย
สุดท้ายของ iOS 13 ในส่วนของ Siri ออกเสียงสมจริงมากขึ้น พร้อมกับพัฒนาให้เมื่อใช้งานคู่กับ AirPods ถ้ามีข้อความเข้าจะอ่านข้อความ และตอบกลับได้ทันที และถ้าใช้งานกับ HomePod จะสามารถแยกเสียงเพื่อใช้งานตามโปรไฟล์ของแต่ละคนได้
ส่วน iPadOS ออกมาปรับแนวทางในการใช้งาน iPad ให้ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะการแบ่งหน้าจอเพื่อให้สามารถใช้งานหลายๆแอปพลิเคชันได้พร้อมกัน เพื่อให้การทำงานบน iPad ง่ายขึ้น จากพื้นฐานของ iOS 13
เริ่มตั้งแต่การปรับปรุงหน้าจอโฮม ให้แสดงแอปในแต่ละหน้ามากขึ้น ช่วยให้เข้าถึงวิตเจ็ตต่างๆได้ รองรับการทำงานแบบ Split View และ Silde Over ให้เลือกใช้ระหว่างการทำงาน
การเข้าถึง Files ในเครื่องจากเดิมดูได้เฉพาะไอคอน และรายชื่อ ในเวอร์ชันใหม่ สามารถเข้าถึงได้หลากหลายมากขึ้น รองัรบการเชื่อมต่อกับยูเอสบี ผ่านพอร์ต USB-C และเข้าถึงไฟล์ในเซิร์ฟเวอร์ได้แล้ว
ที่ปรับปรุงอีกอย่างคือการเพิ่มความสามารถในการใช้งานมัลติทัช ให้ใช้งานแทนเมาส์เคอเซอร์ และคำสั่งลัดต่างๆ เบื้องต้นคือ การใช้ 3 นิ้ว ซูมเข้าเพื่อ Copy ซูมออกเพื่อ Paste และปาดซ้าย เพื่อ Undo เป็นต้น
สุดท้าย macOS Catalina ที่ถือเป็นการปิดตำนาน iTunes ด้วยการแยกแอปพลิเคชันออกมาเป็น Apple Music Apple Podcast และ Apple TV ให้ใช้งานกัน โดยในแต่ละบริการก็จะมีการเพิ่มความสามารถตามที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้
ฟีเจอร์ที่ผู้ใช้งาน macOS ทุกคนรอมานานคือการใช้ iPad เป็นจอเสริมก็ถูกอัปเดตมาให้ใช้งานกันในครั้งนี้ภายใต้ชื่อ Sidecar ซึ่งช่วยให้สามารถใช้ iPad วาดรูป สเก็ตซ์ หรือเขียนบันทึกข้อมูลลงใน macOS ผ่านหน้าจอของ iPad ได้ทันที
เพิ่มความปลอดภัยในการปกป้องข้อมูลอย่าง Gatekeeper ที่จะเข้ามาช่วยตรวจสอบแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่ในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ เพิ่มการจับเวลาหน้าจอในการใช้งาน (Screen Time) ให้รองรับบน macOS
รวมถึงการปรับปรุงแอปต่างๆ ที่นำ AI มาช่วย อย่างการแสดงผลในแอปรูปภาพ การใช้งาน Safari ที่สามารถเลือกเปิดหน้าเว็บไซต์ตามคำแนะนำของ Siri ได้ การจัการอีเมลรูปแบบใหม่ช่วยบล็อกอีเมลโฆษณาได้เป็นต้น
อีกหนึ่งจุดที่มีการพัฒนาบน macOS Catalina คือการเปิดโอกาสให้นักพัฒนาพอร์ตแอปที่ใช้งานบน iOS มาใช้งานร่วมกับ macOS ด้วย ดังนั้นผู้ใช้งาน macOS ก็สามารถเข้าถึงแอปจำนวนมหาศาลที่อยู่บน App Store ได้ในช่วงปลายปีนี้
สำหรับระบบปฏิบัติการที่เปิดตัวในวันนี้ จะเปิดให้นักพัฒนาสามารถดาวน์โหลดไปลองใช้งายได้ทันทีตั้งแต่วันนี้ และจะเริ่มทยอยอัปเดตให้ผู้ใช้ทั่วไปภายในปลายปีนี้