xs
xsm
sm
md
lg

อินเว้นท์ ลงทุนอีคาร์ทสตูดิโอ ชูแอปเพื่อเมืองอัจฉริยะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

วุฒิกร มโนมัยวิบูลย์ และ ณรงค์พนธ์ บุญทรงไพศาล
อินเว้นท์ ลงทุน 40 ล้านบาท ในสตาร์ทอัปรายล่าสุด อีคาร์ทสตูดิโอ ชูจุดแข็ง แอปพลิเคชันเพื่อเมืองอัจฉริยะ ตั้งเป้า 3-5 ปี เติบโตปีละ 20% พร้อมจ่อลงทุนในสตาร์ทอัปรองรับเทคโนโลยี 5G

นายณรงค์พนธ์ บุญทรงไพศาล หัวหน้าโครงการบริษัทร่วมทุนอินเว้นท์ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อินทัช ได้ร่วมลงทุนในระดับซีรีส์ B ผ่านโครงการอินเว้นท์ (InVent) ด้วยมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท กับบริษัท อีคาร์ทสตูดิโอ จำกัด (Ecartstudio) หนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมประยุกต์ทางด้านภูมิศาสตร์ (Enterprise Location-Based Application) ซึ่งอีคาร์ทสตูดิโอ จะนำเงินลงทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจ พร้อมทั้งพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อให้เป็นผู้นำด้าน Smart City Platform ของไทย ภายใน 3-5 ปี

ทุกวันนี้การบอกตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ หรือแผนที่ มีประโยชน์อย่างมากในการดำเนินงานของธุรกิจต่างๆ เช่น การหาร้านอาหาร, บริการส่งอาหารหรือสินค้า, การเรียกแท็กซี่, การทำสื่อโฆษณาและส่งเสริมการขายผ่านมือถือ ซึ่งอีคาร์ทสตูดิโอ เป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยี Location Based Services เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มธุรกิจ และองค์กรภาครัฐ ในการให้บริการต่างๆ ที่ช่วยให้การบริหารจัดการสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรายได้ และลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี

“เรามองว่า การนำเทคโนโลยี Location Based Services มาใช้ในธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจบริการ, ธุรกิจค้าปลีก, ธุรกิจขนส่ง, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจสื่อโฆษณา และธุรกิจอื่นๆ มีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากในอนาคต”

นายณรงค์พนธ์ กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทจะเปิดตัวสตาร์ทอัปที่ลงทุนอีก 2 บริษัทเกี่ยวกับบล็อกเชน และ เฮลท์เทค และกำลังอยู่ระหว่างการขออนุมัติอีก 5 บริษัท เป็นบริษัทเกี่ยวกับ 5G จำนวน 3 บริษัท และยังไม่สามารถเปิดเผยได้อีก 2 บริษัท ซึ่งการลงทุนเกี่ยวกับ 5G นั้น จะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับ IoT เป็นต้น ดังนั้น จึงต้องเตรียมลงทุนก่อนในปีนี้ ไม่จำเป็นต้องรอให้คลื่น 5G เกิดก่อน เพื่อให้สามารถให้บริการได้ทันเมื่อถึงเวลาที่ 5G เกิด

ด้านนายวุฒิกร มโนมัยวิบูลย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีคาร์ทสตูดิโอ จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้พัฒนา Smart City Platform ทั้งในส่วนของ B2B และ B2C เพิ่มเติมจากการพัฒนาระบบโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ (Web-Based Application) และระบบโปรแกรมประยุกต์ทางด้านภูมิศาสตร์ (Enterprise Location-Based Application)

ในส่วนของ B2C Platform นั้น เริ่มจากการที่บริษัทฯ เห็นว่า เทคโนโลยีสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของคนมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการติดต่อสื่อสาร การค้นหาและรับข้อมูล หรือดูกิจกรรมบันเทิงต่างๆ

บริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะพัฒนานวัตกรรมการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ทันสมัย เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้ง่าย สะดวก คุ้มค่า และลดเวลาที่ไม่ควรเสียไป ทั้งในด้านของการอยู่อาศัย การเดินทาง การพกบัตรต่างๆ ด้านสุขภาพและการแพทย์ รวมถึงด้านการชอปปิ้ง เป็นต้น โดยการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น แอปพลิเคชัน ServLive เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม

แอปพลิเคชัน ServCard เพื่อลดความยุ่งยากในการพกบัตรสมาชิกต่างๆ เปลี่ยนเป็นเก็บในรูปแบบบัตรดิจิทัล แอปพลิเคชัน Taxi-Beam และ Bus-Beam เพื่อให้สามารถเข้าถึงรถสาธารณะได้ง่าย และสะดวก และแอปพลิเคชัน InMall เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินห้างเสมือนจริง พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับเกมส์ AR และลุ้นรับส่วนลดโปรโมชันมากมาย

สำหรับ Smart City Platform ในส่วน B2B นั้น บริษัทฯ ได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางด้าน Location-Based เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบ LBIS (Location Based Information System) LIMS (Location Information Management System) และ EcartMap ให้สามารถรองรับการสร้างและบริหารการวางระบบสาธารณูปโภค (Infrastructure) ต่างๆ ของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครอบคลุมทั้งระบบคมนาคม, ระบบพลังงาน, ระบบการจัดการน้ำ และระบบสื่อสาร เป็นต้น นอกจากนั้น แพลตฟอร์มที่ได้พัฒนาขึ้น ยังมีความยืดหยุ่นสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการใช้งานขององค์กร และธุรกิจต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล และภาคเอกชน ได้เป็นอย่างดี

ดังนั้น Smart City Platform สำหรับลูกค้าองค์กร จึงถือเป็นการประยุกต์เทคโนโลยีที่บริษัทฯ เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยสนับสนุนและเสริมสร้างการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ที่สามารถให้บริการด้านสาธารณูปโภค รวมทั้งช่วยบริหารจัดการเมือง โดยใช้ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ลดลง ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนลูกค้าองค์กรเอกชน ประมาณ 40% และลูกค้าองค์กรภาครัฐ ประมาณ 60% ทั้งนี้ จากการนำเสนอ Smart City Platform ทั้งในส่วนของ B2B และ B2C นั้น บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าเอกชน และลูกค้าบุคคลทั่วไป มากยิ่งขึ้น

โดยภายในปี 2563 บริษัทฯ คาดว่าจะมีฐานลูกค้าบุคคลประมาณ 1 ล้านคนทั่วประเทศ นอกจากนั้น ยังมีแผนงานที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศบรูไน และอินโดนีเซีย ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะมีการเซ็นสัญญากันแล้ว ด้วยการนำเสนอบริการระบบ ServLive และ ServCard เนื่องจากยังมีคู่แข่งน้อย ทำให้มีโอกาสเติบโต และขยายฐานลูกค้าได้มาก รวมทั้งมีพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถแนะนำกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่มีความสนใจใช้บริการได้ คาดภายใน 3-5 ปี บริษัทจะเติบโตปีละ 20%





กำลังโหลดความคิดเห็น