ภายในปี 2020 การเชื่อมต่อของ Internet of Things (IoT) ถึง 50 พันล้านการเชื่อมต่อ และจะทำให้ธุรกิจต่างๆ รวมถึงชีวิตประจำวันของผู้คน เปลี่ยนไปอย่างมากมาย
การใช้อุปกรณ์ IoT ที่เชื่อมต่อถึงกัน และเซ็นเซอร์อัจฉริยะ กำลังขยายตัวและกำลังเปลี่ยนแปลงในแทบทุกด้านของชีวิตเรา อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าในแบบที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน เช่น การใช้อุปกรณ์ IoT ในบ้าน เพื่อจัดการพลังงาน ความปลอดภัย การส่องสว่างในบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ โรงงานกำลังปรับวิธีการดำเนินงาน และต้นทุนให้เหมาะสม โดยใช้วิธีการบำรุงรักษาแบบคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ เป็นต้น
จากรายงานของ Statista คาดการณ์ว่า ในยุค 5G ภาคอุตสาหกรรม และธุรกิจต่างๆ จะประยุกต์ IoT ในธุรกิจเนื่องจากศักยภาพในด้านการลดต้นทุน และทำให้มูลค่าของตลาดในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนั่นเอง ซึ่งจากการวิเคราะห์และทำวิจัยด้านการตลาดพบว่า IoT จะถูกประยุกต์ใช้ในภาคสาธารณะสุขอย่างมากในช่วงปี 2018 ถึง 2026
Cisco ได้คาดการณ์ว่าจะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อถึงกันได้ 50 พันล้านอุปกรณ์ภาย ในปี 2020 และ McKinsey Global Institute ได้ประเมินไว้ว่า การเชื่อมโยงถึงกันได้ของโลกทางกายภาพ และดิจิทัล จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงถึง 11.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ภายในปี 2025 เนื่องจาก IoT ที่เชื่อมต่อกัน
นวัตกรรมการชำระเงินสำหรับ IoT จากอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกันได้จำนวนมาก เช่น ตู้เย็นจาก Samsung ที่ผู้ใช้สามารถซื้อของได้จากที่บ้าน หรือโครงการ Visa Ready Program ที่รับรองและรักษาความปลอดภัยในการชำระเงิน และเมื่อเราเปลี่ยนไปสู่ “cashless society” หรือสังคมไร้เงินสด การชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน อุปกรณ์ที่สวมใส่ได้ หรือเครื่องใช้ภายในบ้าน ก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ในปี 1990 Mark Weiser หัวหน้าทีมนักวิจัยของ Xerox PARC ระบุว่า “องค์ประกอบที่สำคัญของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่เชื่อมต่อด้วยสายไฟ คลื่นวิทยุ และอินฟราเรด จะแพร่หลายมากจนไม่มีใครสังเกตเห็นการมีอยู่ของมัน” ซึ่งหมายความว่า การเชื่อมต่ออย่างมากมายจะปรากฏขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดผลกระทบของมันจะเห็นได้ชัดแบบที่ไม่รู้ตัวว่ามันค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาก่อน
การปฏิวัติการเชื่อมต่อ (connected revolution) ที่ Weiser ได้คาดการณ์ไว้นั้น กำลังดำเนินอยู่ตลอดเวลาในทุกวินาที และจะกลายเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจในทุกๆ ภาคส่วน ที่ขีดความสามารถที่มากมายของเทคโนโลยีเหล่านี้ จะเกิดขึ้นจนนำไปสู่เศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่าสูงอย่างรวดเร็ว จากการเชื่อมโยงสรรพสิ่งต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการควบคุมการผลิตและการให้บริการของอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก
IoT ทำให้เกิดการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรกับเครื่องจักร (M2M) และเครื่องจักรกับมนุษย์ (M2H) จะเชื่อมโยงทั้งเครื่องจักร กระบวนการผลิต และจอควบคุมของโรงงานแห่งอนาคต และเทคโนโลยี 5G จะเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และคุณภาพได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งในยุค 5G หุ่นยนต์และมนุษย์จะทำงานร่วมกันในโรงงาน ซึ่งในโรงงานจะทำหน้าที่เหมือนวงดนตรีที่เล่นเพลงเดียวกันอย่างไพเราะด้วยเครื่องดนตรีที่หลากหลาย มากกว่าจะเป็นเพียงกลุ่มของสายการผลิตที่มีเครื่องจักร มนุษย์ และหุ่นยนต์ ที่ต่างก็มีบทบาทแตกต่างกัน แต่กลับมาทำงานร่วมกัน พื้นโรงงานจะเป็นแบบไดนามิก และปรับแต่งใหม่ได้ เพื่อให้เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตขึ้น
IoT และ Blockchain จะเชื่อมโยงและประสานสอดคล้องกัน โดย IDC ได้วิเคราะห์ว่า ภายในปี 2019 การประยุกต์ใช้ IoT จะอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยี Blockchain กว่า 20% เนื่องจากความกังวลของระบบ IoT ที่ฝังอยู่กับอุปกรณ์ต่างๆ อาจจะได้รับความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ดังนั้น การประยุกต์ใช้ Blockchain จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และมีความยืดหยุ่นสูงเมื่อทำงานร่วมกับ IoT
เทคโนโลยี IoT ทำให้อุตสาหกรรมด้านดิจิทัลเชื่อมโยงเข้ากับอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อย่างใกล้ชิด และแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันในอนาคต ดังนั้น ภายในหนึ่งถึงสองทศวรรษนี้ IoT จะทำให้ธุรกิจทุกธุรกิจมีการเชื่อมโยงกันและมีความชาญฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ จนเกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ภายในปี 2025 ถึง 2030 อย่างชัดเจน โดยเทคโนโลยี 5G จะเป็นตัวปลดล็อกทำให้ IoT สามารถที่จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และส่งข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างเรียลไทม์
เทคโนโลยี 5G ไม่เพียงแต่ทำให้มนุษย์สามารถดาวน์โหลดข้อมูลขนาดมหาศาลได้ด้วยความเร็วสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเท่านั้น แต่มันยังทำให้อุปกรณ์ IoT, sensor และสิ่งของรอบตัวมนุษย์นับหลายพันล้านหมื่นล้านชิ้นทั่วโลก สามารถเชื่อมโยงกันเอง และเชื่อมโยงกับมนุษย์ได้อย่างเรียลไทม์ ซึ่ง 5G จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลบนมาตรฐานการสื่อสารแบบ Vehicle to anything (V-to-X) ได้อย่างเหลือเชื่อ จนคาดการณ์ว่า ในปี 2035 ความชัดเจนของยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (autonomous vehicles) จะปรากฏเป็นการทั่วไป และจะนำไปสู่การเกิดเมืองอันชาญฉลาด (smart cities) เพราะเนื่องจากสรรพสิ่งต่างๆ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล และทำงานได้อย่างอัตโนมัติ
การวิเคราะห์ของ Business Insider Intelligence ได้กล่าวด้วยว่า บริษัทต่างๆ รวมไปถึงผู้บริโภคทั่วโลก จะมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปอย่างพลิกผันในทุกอุตสาหกรรม ด้วยการที่มีการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลกันอย่างชาญฉลาด และเรียลไทม์ โดยทุกอย่างที่สามารถทำให้เป็นการให้บริการและผลิตแบบอัตโนมัติได้ (automation) ก็จะถูกทำให้เกิดการผลิตและบริการอย่างอัตโนมัติที่สมบูรณ์แบบภายในไม่ถึงสองทศวรรษนี้ จึงทำให้ระบบเศรษฐกิจใหม่มีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากวันนี้อย่างสิ้นเชิง
ความชาญฉลาดของเทคโนโลยีแต่ละชนิดที่เคยอยู่แยกกันคนละซีกโลก กลับกลายเป็นถูกเชื่อมโยงด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5G และ IoT จนทำให้ขีดความสามารถของเทคโนโลยีแต่ละชนิดถูกผนึกกัน จนเกิดขีดความสามารถทวีคูณ จนมีการเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ที่เติบโตในลักษณะยิ่งกว่าทวีคูณ ที่เราเรียกว่า “super-exponential” นั่นเอง