โดยพันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และอดีตรองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
เทคโนโลยี 2G เป็นเทคโนโลยีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน (Human-to-human) ส่วนเทคโนโลยี 3G และ 4G เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ด้วยความเร็วสูง และในที่สุดมาถึงยุคเทคโนโลยี 5G ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมต่อมนุษย์เข้ากับเครื่องจักร และเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรกับเครื่องจักร (Machine-to-machine) เพื่อให้การทำงานอย่างอัตโนมัติเกิดขึ้นจริง
ในระบบ 5G ที่มีขีดความสามารถในการส่งข้อมูลด้วยความเร็วในระดับกิกะบิตต่อวินาที (Gbps) จะทำให้การส่งวิดีโอแบบถ่ายทอดสดด้วยความคมชัดสูงที่เรียกว่า Full High definition (FHD) และ VR ซึ่งต้องการแบนด์วิดท์ที่กว้างมาก รวมไปถึง IoT ที่ต้องการการเชื่อมต่อจำนวนมหาศาลสามารถปรากฏขึ้นได้ โดยการเชื่อมต่อนับล้าน และการส่งข้อมูลด้วยปริมาณขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดการขับเคลื่อนด้วยตัวเอง เมืองอัจฉริยะ และโรงงานที่ทำการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ เป็นต้น
สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ International Telecommunication Union (ITU) ได้กำหนดวิสัยทัศน์และนิยามของระบบ 5G ไว้ว่าเป็นระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่บรอดแบนด์ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์และสรรพสิ่งต่างๆ จำนวนมหาศาลที่มีความเชื่อถือได้สูง และมีความหน่วงเวลาที่ต่ำมาก โดยมาตรฐานที่คาดการณ์ไว้ว่าระบบ 5G จะก้าวหน้าในด้านความเร็วในการส่งข้อมูลถึง 10 Gbps และสามารถเชื่อมต่อกับสรรพสิ่งต่างๆ ได้ถึง 1 ล้านชิ้นต่อ 1 ตารางกิโลเมตร ด้วยความก้าวหน้าของประสิทธิภาพแบตเตอรี่ถึง 100 เท่าของวันนี้
ความโดดเด่นของคุณสมบัติในด้านความเชื่อถือได้สูง และความหน่วงเวลาที่ต่ำมาก จึงทำให้เทคโนโลยี 5G แตกต่างจากเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้งสิ้น โดยความหน่วงเวลามีการพัฒนาที่ดีขึ้นถึง 50 เท่าจากระบบ 4G จนทำให้การเชื่อมต่อกับอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน (drone) มีประสิทธิภาพที่ก้าวกระโดด จนไม่ใช่เป็นเพียงของเล่นอีกต่อไป เนื่องจากโดรนสามารถที่จะแพร่ภาพจากระยะความสูงที่สูงมากสามารถขนย้ายสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การแพทย์ฉุกเฉิน ไปจนถึงการบริหารจัดการด้านการเกษตร เป็นต้น
ในระยะยาวระดับ 5-10 ปี เทคโนโลยี 5G จะนำมาซึ่งประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในการเสพสื่อ ซึ่งการประยุกต์ใช้ VR จะเกิดขึ้นโดยการสวมใส่ถุงมือ และเสื้อ ที่สามารถตอบสนองความรู้สึก และการเคลื่อนไหวได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง Ready Player One โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และชัดเจนภายในปี 2025 และจะทำให้เกิดมูลค่าในตลาดสูงถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ภายในปี 2028 จึงทำให้ในวันนี้ถึงเวลาที่จะเริ่มการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ VR แล้ว เนื่องจากมีการเริ่มขยายโครงข่ายเทคโนโลยี 5G แล้วในหลายประเทศทั่วโลก
IDC ได้คาดการณ์ว่า การให้บริการ 5G จะเริ่มต้นขึ้นอย่างชัดเจนทั่วโลกในต้นปี 2019 และจะแพร่หลายอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2021 ถึง 2023 และเทคโนโลยี 5G จะเป็นเทคโนโลยีหลักที่สามารถขจัดอุปสรรคในด้านการสื่อสารต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประยุกต์ใช้ในทุกธุรกิจ
ภายในปี 2025 Goldman Sachs คาดการณ์ไว้ว่า ตลาดของ AR/VR จะมีมูลค่าถึง 1.82 แสนล้านเหรียญสหรัฐ นั่นหมายความว่า อุตสาหกรรม AR/VR จะใหญ่กว่าอุตสาหกรรม TV และมีการคาดการณ์จาก Huawei ด้วยว่า การใช้โดรนจะมีมูลค่าในตลาดสูงกว่าในวันนี้ถึงสองเท่า ซึ่งสูงกว่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 2020
จากการศึกษาของ Intel และ Ovum เกี่ยวกับการเติบโตของเครือข่าย 5G พบว่า ข้อมูลที่เกิดจากการรับชมวิดีโอ จะมีสัดส่วนมากถึง 90% ของการใช้ข้อมูลบนระบบ 5G ทั้งหมด และเทคโนโลยี VR และ AR ที่ขับเคลื่อนด้วย 5G จะถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยภายในปี 2028 การเล่นเกมจะมีสัดส่วนมากถึง 90% จากการใช้งาน AR ที่ขับเคลื่อนด้วย 5G
5G กำลังผลักดันให้เกิดรายได้ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นแก่บริษัททางด้านสื่อและบันเทิงในช่วงทศวรรษหน้า โดย Ovum คาดการณ์ว่า ความต้องการของผู้ใช้งานสำหรับข้อมูลวิดีโอเพียงอย่างเดียวในปี 2019 จะเพิ่มขึ้นจากปริมาณเฉลี่ย 11.7 GB ต่อเดือน ของผู้ใช้งาน 5G แต่ละราย เป็น 84.4 GB ในปี 2028 ซึ่งเป็นจุดที่มีการใช้งาน 5G มากถึง 90% ของปริมาณข้อมูลทั้งหมด ซึ่งนั่นไม่ใช่เพียงเพราะว่า วิดีโอมีการปรับปรุงคุณภาพ และความละเอียดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสื่อที่มีการฝังตัวเพิ่มเติมเข้าไป และประสบการณ์ที่เหมือนจริงที่สามารถปรับปรุงประสบการณ์และทำให้เวลาในการดูวิดีโอของผู้คนเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ในรายงานยังระบุว่าในช่วงปี 2025 รายได้ 57% จากสื่อไร้สายทั่วโลก มาจากการใช้งานเครือข่าย 5G และอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยเทคโนโลยี 5G และด้วยความหน่วงเวลาที่ต่ำของเครือข่าย 5G นี้ จึงทำให้การสตรีมมิงวิดีโอ หรือการดาวน์โหลดเอกสารจำนวนมาก สามารถทำได้ภายในพริบตา
รายงาน “5G Economics of Entertainment Report” ได้คาดการณ์ว่า 5G จะเร่งการใช้งานคอนเทนต์ รวมถึงสื่อบนโทรศัพท์เคลื่อนที่, โฆษณาบนมือถือ, บรอดแบนด์และทีวีภายในบ้าน และยังสามารถปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน ทั้งในการโต้ตอบ และความเสมือนจริง อีกทั้ง 5G ยังทำให้เทคโนโลยี AR/VR และสื่อใหม่ๆ มีศักยภาพที่แท้จริงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
การคาดการณ์ดังกล่าวยังได้ระบุถึงว่า 5G จะส่งผลกระทบเกินออกไปจากอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิงอีกด้วย โดยจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันในภาคธุรกิจต่างๆ โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งจะทำให้ภาคอุตสาหกรรม และธุรกิจมากมาย จะต้องวางกลยุทธ์ที่จะนำเอาเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้ในทุกธุรกิจ และจะเกิดมูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจและอุตสาหกรรมใดไม่สามารถปรับตัวได้ ก็จะเสื่อมสภาพลง และถูกทิ้งไว้ข้างหลังในที่สุด