xs
xsm
sm
md
lg

ส่องเทรนด์เทคโนโลยีจากมุมมอง “เลอโนโว”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นายธเนศ อังคศิริสรรพ ผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคอินโดจีน เลอโนโว
เพราะชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างรอบตัวเราถูกพัฒนาให้มีวิวัฒนาการที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเทอร์ ชุดอุปกรณ์ภาพและเสียงสำหรับห้องประชุม หรือแม้กระทั่งหลอดไฟ มนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะรับมือและปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีรอบตัวทั้งในที่ทำงาน และที่บ้าน เพื่อการใช้เทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเชื่อมต่อกับชีวิตประจำวัน

โดยเทคโนโลยีส่วนใหญ่นั้น ถูกพัฒนาขึ้นจากความต้องการที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนให้ดีขึ้น ในปี 2019 การเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด การใช้งานระบบออโตเมชัน และเทคโนโลยีโลกเสมือน จะถูกนำมาใช้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้มนุษย์สามารถปรับตัวกับเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดเหล่านี้ และสามารถรับมือกับยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

เทรนด์ที่ 1: Smart spaces เมื่อทุกอย่างรอบตัวเราฉลาดขึ้น และอะไรคือสิ่งที่ขาดหายไป?

สมาร์ท สเปซ (smart spaces) ทั้งในชีวิตจริง และในแบบดิจิทัล คือ สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คน อุปกรณ์ และระบบ ทำงานเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทซิตี้ (Smart City), ดิจิทัล เวิร์กสเปซ (Digital Workspace) หรือสมาร์ท โฮม (Smart Home) ก็ต่างมีแนวโน้มที่จะหันมาให้ความสำคัญกับการทำงานในระบบนิเวศแบบเชื่อมต่อนี้

แล้วอะไรคือช่องโหว่ จากการศึกษาล่าสุด โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านความพึงพอใจของลูกค้าพบว่า เทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และตอบโจทย์ คือ สิ่งที่ผู้ใช้งานมองหา หากเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นไม่ตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ แนวโน้มที่คนจะเลิกใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

สำหรับผู้บริโภค เทคโนโลยีสำหรับสมาร์ท โฮม จำเป็นต้องช่วยลดความยุ่งยาก และลดเวลาในการติดตั้ง ในอนาคตอุปกรณ์สมาร์ท โฮม จะถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยจะเน้นที่การติดตั้งง่าย มีโซลูชันที่เชื่อมต่อกันแบบครบวงจร และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ผู้บริโภค

คอมพิวเตอร์ในบ้านจะมีฟังก์ชันอัจฉริยะอย่างการจดจำเสียง (Voice Recognition) ระบบยืนยันตัวตนด้วยอัตลักษณ์ส่วนบุคคล (Biometric Authentication) การเชื่อมต่อแบบ always-on หน้าจอแสดงผลแบบอัจฉริยะ (Smart Display) จะเป็นแบบสัมผัส และมีตัวช่วยในการสั่งงานด้านเสียง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และเชื่อมต่อได้สะดวกยิ่งขึ้น

สำหรับองค์กร การสร้างประสบการณ์ที่ดีในการทำงานให้แก่พนักงานคือสิ่งสำคัญ โดยนอกเหนือจากเทคโนโลยี สถานที่ และวัฒนธรรมขององค์กร สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การทำงานร่วมกันของทั้งสามปัจจัยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อดึงดูดพนักงานใหม่และรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้กับองค์กร ตลอดจนเพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนานวัตกรรม และเพิ่มผลกำไร

องค์กรจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความต้องการที่แตกต่างกันของพนักงานในยุคมิลเลเนียลส์ (Millennials) และยุคอื่นๆ รวมถึงสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจากที่ทำงาน และในด้านความเป็นส่วนตัว ปัจจุบัน องค์กรมีการปรับสำนักงานให้พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกด้านเทคนิค ที่สามารถปรับเปลี่ยน และยืดหยุ่นได้ แต่อย่างไรก็ตาม พนักงานยังคงต้องการความรู้สึกสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัว องค์กรสมัยใหม่ที่มองการณ์ไกลเริ่มให้ความสนใจกับแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลง การเพิ่มความคล่องตัวในการเชื่อมต่อ

การจัดสรรพื้นที่ที่ส่งเสริมการทำงานและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นโถงทางเดิน ห้องอาหาร หรือห้องประชุมย่อยที่ต้องเอื้อต่อการทำงานร่วมกันมากขึ้น อย่างการติดตั้งระบบโซลูชันสำหรับห้องประชุมอัจฉริยะ จอแสดงผลแบบอินเทอร์แอ็กทีฟ และอื่นๆ เมื่อคนในยุคเจเนอเรชัน ซี ซึ่งมีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีในการทำงาน สิ่งที่พวกเขามองหา คือ สิทธิในการเลือกใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ตนเองคุ้นเคย องค์กรที่จะประสบความสำเร็จในการก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงที่ทำงานสู่ยุคใหม่จะต้อง สร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายด้วยนโยบายเชิงวัฒนธรรม และสร้างความประทับใจในการช่วยเปลี่ยนสังคมการทำงานสู่รูปแบบใหม่นี้ได้

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยต่อการเปลี่ยนแปลงที่ทำงานสู่ยุคใหม่ คือ อุปกรณ์ภายในองค์กรต้องสามารถรองรับการเชื่อมต่อเข้ากับโปรแกรม หรือระบบคลาวด์ นอกจากนี้ สิ่งที่กำลังเป็นที่นิยม คือ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติแบบครบวงจร (Smart vending solutions) ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ไอทีต่างๆ ตั้งแต่แล็ปท็อป ตลอดจนเมาส์ คีย์บอร์ด หรือชุดหูฟังได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งจุดเด่นของโซลูชันนี้ คือ ช่วยลดขั้นตอนเอกสารให้กับฝ่ายจัดซื้อ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงาน การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมาร์ท ออฟฟิศ ช่วยให้องค์กรสามารถเพิ่มความคล่องตัว ความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มผลผลิตในการทำงาน

เทรนด์ที่ 2 : เทคโนโลยีสร้างประโยชน์ : IoT AI และ AR/VR ช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น

อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีเสมือนจริง (AR/VR) เป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากหลากหลายอุตสาหกรรม เนื่องจากเทคโนโลยีช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อที่ไร้พรหมแดน ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของออโตเมชันแบบเต็มรูปแบบ ช่วยให้การใช้งานผ่านมุมมองโลกเสมือนได้เหมือนจริงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ในปี 2019 ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกพัฒนายิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นในอุตสาหกรรมการผลิตไปจนถึงสำหรับสถาบันการศึกษา ร้านค้าปลีก และอีกมากมาย หากอ้างอิงจากผลวิจัยของ Accenture พบว่า มากกว่า 72% ของผู้บริหารธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ เชื่อว่า โลกเสมือนจริงนั้นจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงานทุกอุตสาหกรรมในอีก 5 ปีข้างหน้า

ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ เทคโนโลยี IoT และแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ถูกพัฒนาด้วย AI จะช่วยเพิ่มความสามารถในการก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ ซึ่งการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนามากมายในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดเวลาในการรอห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล การควบคุมและดูแลบริการด้านสุขภาพจากทางไกล การเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบความพร้อมในการให้บริการของอุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อลดเวลาทำงานของแพทย์ในการวินิจฉัยก้อนเนื้อ อ้างอิงจากผลการวิจัยซึ่งจัดทำขึ้นโดย Market Research คาดการณ์ว่า ภายในปี 2020 IoT ด้านสุขภาพ จะถูกใช้กันแพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยคิดเป็นตัวเงินมากถึง 163.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 38% ของการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2015

เทคโนโลยีเสมือนจริง (AR/VR) สามารถนำมาใช้ประโยชน์กับอุตสาหกรรมทางด้านสุขภาพในอนาคตได้เช่นกัน อาทิ การใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง (AR/VR) เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเห็นบรรยากาศภายในของโรงพยาบาลได้ก่อนเข้าไปรับการรักษา เพื่อลดความเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยี VR ยังช่วยรักษาสภาพจิตใจของเด็กๆ ที่รับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลด้วยความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นเกมหรือการทำกายภาพ เพื่อให้พวกเขารู้สึกสนุกสนาน และมีกำลังใจในการรักษามากขึ้น

ด้านการศึกษา การนำเทคโนโลยี VR มาใช้ในห้องเรียนนั้น ช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ๆ ที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสได้ง่ายขึ้น เช่น นักเรียนสามารถศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ป่าที่มีชีวิตอยู่ในอีกซีกโลกหนึ่งผ่านการออกไปท่องเที่ยวในโลกเสมือนจริง หรือใช้ห้องทดลองในโลกเสมือนจริง เพื่อมีส่วนร่วม หรือศึกษาและอธิบายสัตว์สายพันธ์ุใหม่จากรหัสทางพันธุกรรมต่างๆ และเทคโนโลยีเสมือนจริง (AR/VR) ยิ่งมีประโยชน์มากขึ้น เมื่อนำมาใช้กับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ทางการเข้าสังคม หรือทางการเรียนรู้ โลกเสมือนจริงจากเทคโนโลยี VR จะช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมต่างๆ และเติมเต็มสิ่งที่พวกเขาต้องการ หรือแม้กระทั่งสนามเด็กเล่นในจินตนาการของพวกเขา นอกจากนี้แล้ว เทคโนโลยีเสมือนจริง (VR) ยังมีประโยชน์มากสำหรับการศึกษาทางไกล เพราะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยครูและนักเรียนสามารถสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบ VR ของตนเอง และนำมาแบ่งปันซึ่งกันและกัน

อุตสาหกรรมค้าปลีก ก็เข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภค ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาเป็นตัวช่วยสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ดีให้แก่ผู้บริโภค อีกทั้งยังให้ความสะดวกแก่ผู้บริโภคในการซื้อผ่านบริการอย่างการซื้อสินค้าบนโทรศัพท์มือถือ ชำระเงินผ่านระบบอัตโนมัติด้วยตัวเองทั้งที่ร้านค้า และระบบออนไลน์ การขับเคลื่อนสู่แพลตฟอร์มในธุรกิจค้าปลีกถือว่าเป็นการพลิกโฉมทางธุรกรรมที่จุดขาย เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้สามารถสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เป็นจุดสำคัญในการมัดใจลูกค้า ซึ่งสามารถพัฒนาต่อไปสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งช่วยในการแสดงราคาตามจริง การจัดการสต๊อกสินค้า และวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า

จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการใช้งานที่หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น จึงเกิดการคาดการณ์ว่า ในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกใช้อย่างแพร่หลาย โดยจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาทุกภาคส่วนธุรกิจให้ดีขึ้นในราคาเทคโนโลยีที่ถูกลง

เทรนด์ที่ 3 : AR ไม่เพียงสนุกแต่ต้องเกิดประโยชน์



ตลาดเทคโนโลยีเสมือนจริงในโลกยุคปัจจุบันมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งภายในปีนี้ คาดการณ์ว่าตลาดอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยีโลกเสมือน (AR) และเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) จะมีเงินสะพัดมากถึง 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และจากผลการวิจัยของ IDC ได้เปิดเผยว่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มียอดเงินสะพัดสูงขึ้นมากถึง 92% กล่าวได้ว่า เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) ได้กลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากท่ามกลางแวดวงอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ วงการเกม, การสื่อสารมวลชน, ภาพยนตร์, การศึกษา, การกีฬา และดนตรี ทั้งนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังเป็นที่ยอมรับในการฝึกอบรมและการสร้างการเรียนรู้ผ่านการจำลองภาพดิจิทัลอีกด้วย

จากความต้องการในการใช้งานเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR) ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในแวดวงของสื่อบันเทิง และองค์กรธุรกิจต่างๆ เทคโนโลยี AR ได้ถูกนำมาใช้ในการอบรมและสร้างการเรียนรู้ผ่านการจำลองภาพดิจิทัลซ้อนทับบนสภาพแวดล้อมจริง เพื่อให้สามารถมองเห็นถึงรายละเอียด หรือตำแหน่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น และด้วยการมาถึงของเทคโนโลยี 5G ความสามารถที่หลากหลาย และทรงคุณค่าของนวัตกรรม AR จึงปรากฏเพิ่มมากขึ้น อาทิ การสร้างภาพจินตนาการในชีวิตจริง ระบบความช่วยเหลือระยะไกล การรับรู้และจดจำวัตถุ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้มีความคล่องตัว และการสร้างคอนเทนต์เนื้อหาที่มีประสิทธิภาพอื่นๆ ดังนั้น จากความสามารถของเทคโนโลยีดังกล่าวที่ก้าวกระโดดไปข้างหน้า จะเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความแข็งแรง และเพิ่มคุณค่าให้แก่ธุรกิจต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

ยกตัวอย่างเช่น การใช้แว่น AR มาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เพื่อเชื่อมต่อกับข้อมูลด้านการผลิตและงานภาคสนามอย่างเรียลไทม์ โดยเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดข้อผิดพลาด ให้ความถูกต้องแม่นยำ เสริมสร้างความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้องานอีกด้วย เช่น การใช้งาน AR ในระบบความช่วยเหลือระยะไกล ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คนงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง ซึ่งอาจได้รับความช่วยเหลือจากพนักงานในออฟฟิศที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นผ่านทางแว่นตาได้ ทั้งนี้ ด้วยระบบการจดจำวัตถุในแว่นตา AR ที่สวมใส่โดยช่างซ่อมเครื่องบิน ยังสามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล เพื่อระบุชิ้นส่วนที่กำลังทำงาน และดึงข้อมูลแผนงานและวัตถุที่สำคัญอื่นๆ ออกมาได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ด้วยเครื่องมือการทำงานรูปแบบใหม่ของแว่น AR จะช่วยให้พนักงานที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ สามารถเรียนรู้การทำงานได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และเป็นไปตามทีละขั้นตอนอีกด้วย

นอกจากนี้ การเชื่อมต่อระหว่างซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ จะถูกพัฒนาให้เชื่อมต่อเข้ากันได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น เพื่อลดปัญหาความยุ่งยากในการใช้งานระหว่างชุดหูฟัง AR และแว่นตา AR โดยทางทีมผู้สร้างโปรแกรม และผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ อาจต้องมีการจับมือร่วมกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และภายในปีนี้ คาดว่าเทคโนโลยี AR จะได้รับความสนใจจากพื้นที่สื่อเชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น เราอาจได้เห็นการประยุกต์ใช้ระหว่างเทคโนโลยี AR และ VR ร่วมกันผ่านการบูรณาการด้านไอที เพื่อประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น

เทรนด์ที่ 4 : ทิศทางของความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์แห่งอนาคต


นอกเหนือจากนี้ มนุษย์ที่มักถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลแล้ว หลายองค์กรยังต้องรับมือกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

ด้วยนโยบายการให้พนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ทำงาน (BYOD) การเข้าถึงระบบจากการทำงานระยะไกล และการจ้างงานแบบชั่วคราว ซึ่งล้วนส่งผลให้ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในองค์กรมีประสิทธิภาพลดลง หากพนักงานละเลยหรือไม่ทำความเข้าใจกับกฎระเบียบด้านการรักษาความปลอดภัย องค์กรก็มีสิทธิเผชิญกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัย ความสูญเสียทางการเงิน ไปจนถึงความเสียหายของชื่อเสียงได้ ถึงแม้ว่าทุกองค์กรจะมีผู้เชียวชาญด้านไอทีที่คุ้นเคยกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล แต่บางครั้งพนักงานทั่วไปก็อาจยึดเอาความสะดวกในการทำงานมาก่อนการปฏิบัติตามระเบียบ ก่อเป็นเหตุให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

แม้ AI จะได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันข้อมูลที่ดีที่สุด แต่ก็เช่นเดียวกันกับเทคโนโลยีอื่นๆ AI ก็เหมือนเป็นดาบสองคมที่อาชญากรไซเบอร์ทั้งหลายต่างหมายตาไว้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงคาดการณ์ว่า ในปี 2019 เราจะได้เห็นการศึกษาและนำเทคโนโลยี AI มาใช้ เพื่อหาข้อบกพร่องในด้านความปลอดภัยของระบบ หรือเป็นโซลูชันเพื่อความปลอดภัยแบบครบวงจร (End-to-end security solutions) ซึ่งจะช่วยให้หาช่องโหว่ด้านความปลอดภัยง่ายขึ้น

โดย 4 หัวข้อด้านความปลอดภัยที่องค์กร และพนักงานในองค์กร ต้องช่วยกันดูแลป้องกัน คือ ข้อมูล ตัวตน ระบบออนไลน์ และอุปกรณ์ การพัฒนาแผนป้องกันภัยไซเบอร์แบบองค์รวม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับต่อต้านภัยคุกคามของทั้ง 4 หัวข้อดังกล่าว แนวโน้มของการยืนยันตัวตนผ่านสองขั้นตอนในอุปกรณ์ส่วนบุคคล ที่กำลังเปลี่ยนเป็นการยืนยันตัวตนผ่านหลายขั้นตอนนั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อองค์กรในอุตสาหกรรมด้านความปลอดภัยอย่าง FIDO Alliance ผนึกกำลังกับ Windows Hello ในการสร้างระบบตรวจสอบความปลอดภัยที่เข้มงวดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart device) ในบ้าน และสำนักงาน ที่เชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด ยังนำไปสู่การเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ดังนั้น การเรียนรู้จากผู้ใช้ผ่านทางพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของมนุษย์ควบคู่กัน องค์กรต่างๆ ควรเข้าใจถึงแรงงานที่ประกอบไปด้วยผู้คนที่หลากหลายเพศ และอายุ เพื่อให้สามารถจัดการและปกป้องอุปกรณ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกับการพัฒนาระเบียบการและแนวทางการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด

การใช้บริการเช่าอุปกรณ์ IT หรือ DaaS (Device-as-a-Service) ซึ่งผู้ใช้บริการจะได้รับประโยชน์มากมาย รวมถึงไม่ต้องคำนึงถึงอายุงานของผลิตภัณฑ์ เป็นทางเลือกที่ทันสมัยสำหรับจัดการกับปัญหาด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัญหาเริ่มซับซ้อน และเกิดบ่อยขึ้น เนื่องจากกระจายตัวของแรงงานที่ทำงานนอกสถานที่

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว องค์กรจึงต้องหาโซลูชันที่คล่องตัว ปรับแต่งได้ และสามารถควบคุมการทำงาน และความปลอดภัยของอุปกรณ์ทั้งหมดได้ จากแบบสอบถามของ Gartner ที่สอบถาม CIO ของหลายองค์กรพบว่า เกือบ 30% ของ CIO ที่ตอบแบบสอบถาม กำลังมีการพิจารณานำบริการ DaaS เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ด้านอุปกรณ์ในสำนักงานของตนในอีก 5 ปีข้างหน้า

ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมของบริการ DaaS ในปี 2020 เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าจากปัจจุบัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีความท้าทายเกิดขึ้น โดย IDC ได้เน้นย้ำถึงประเด็นที่องค์กรต้องเผชิญ เมื่อพูดถึงการจัดการวงจรอุปกรณ์ ซึ่งกว่าครึ่งยอมรับว่าสามารถปรับปรุงได้ โดยความท้าทาย รวมไปถึงการอัปเดตข้อมูล การปรับแต่งอุปกรณ์ และความกังวลเกี่ยวกับการทำให้พนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้อย่างปลอดภัย


กำลังโหลดความคิดเห็น