ซุปเปอร์แนป เลือกประเทศไทยตั้งดาต้า เซ็นเตอร์ แห่งเดียวในอาเซียน

ในยุคที่ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ และมีความสำคัญในการนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ การเก็บข้อมูลให้ปลอดภัย และสามารถเรียกข้อมูลมาใช้งานได้แบบเรียลไทม์จึงเป็นสิ่งสำคัญ หลายองค์กรทุกวันนี้ต้องการลดต้นทุนด้วยการเอาต์ซอร์สมากขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องสร้างดาต้า เซ็นเตอร์เองในแบบเดิมๆ อีกต่อไป การเติบโตของธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์จึงเป็นสิ่งที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องถึงปีละ 10% ทำให้ ซุปเปอร์แนป อินเตอร์เนชั่นแนล สัญชาติสหรัฐอเมริกา ขยายธุรกิจมายังประเทศไทย

*** ทำเลดีจนได้รางวัล

"สุนิตา บ๊อตเช่" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซุปเปอร์แนป ประเทศไทย เล่าถึงเหตุผลในการเลือกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เหมราชชลบุรี 2 อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ประเทศไทย ในการลงทุนสร้างดาต้า เซ็นเตอร์ ว่า นอกจากเป็นพื้นที่ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และเป็นพื้นที่ในเขตพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) แล้ว ยังพบว่าเป็นพื้นที่ราบที่เหมาะต่อการขยายพื้นที่ดาต้า เซ็นเตอร์ในอนาคต อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกเขตน้ำท่วมกรุงเทพฯ และสูง 110 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล

อีกทั้งยังตั้งอยู่ใกล้สถานีเคเบิลเชื่อมระหว่างประเทศประมาณ 27 กิโลเมตรจากศูนย์ข้อมูล ขณะที่การเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ก็มีระยะทางห่างกันเพียง 85 กิโลเมตร และห่างจากสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (ระยอง-พัทยา) 57 กิโลเมตร

การเลือกพื้นที่ดังกล่าวทำให้ซุปเปอร์แนป ได้รับรางวัลชนะเลิศจากงาน Datacloud Asia ปี 2561 จาก Broad Group ในการเป็นผู้ให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ยอดเยี่ยมประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรางวัลสถานที่ตั้งดาต้า เซ็นเตอร์ที่ดีที่สุด

***ชมประเทศไทยมีศักยภาพ

ประเทศไทยมีการเติบโตด้านการบริโภคข้อมูลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากงานวิจัยในเดือน ม.ค.2561 พบว่า ประเทศไทยมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 11 ล้านราย หรือเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีผู้ใช้งานโซเชียล มีเดีย แอ็กทีฟเพิ่มขึ้นอีก จำนวน 5 ล้านราย หรือโตขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้น 2 ล้านเลขหมาย หรือ 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และคนใช้โซเชียล มีเดีย ผ่านโทรศัพท์มือถือที่แอ็กทีฟเพิ่มขึ้น จำนวน 4 ล้านเลขหมาย หรือเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ด้านกฎหมายไซเบอร์ที่เกี่ยวข้อง ประเทศไทยก็มีความพยายามในการผลักดันให้มีผลบังคับใช้อย่างเร็วที่สุด เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งาน ซุปเปอร์แนป เองก็มั่นใจในนโยบายของรัฐบาลในการนำพาประเทศไทยไปสู่ไทยแลนด์ 4.0

แต่หากถามว่าปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ผู้ให้บริการคอนเทนต์ย้ายเซิร์ฟเวอร์มาตั้งถิ่นฐานในไทยหรือไม่ ตรงนี้น่าจะเกี่ยวกับแผนการลงทุนของแต่ละผู้ให้บริการคอนเทนต์เองมากกว่า ว่าหากมีแผนการลงทุนก้อนใหญ่ในประเทศไทย ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะหันมาใช้ดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทย แทนประเทศสิงคโปร์

"ความต้องการเอาต์ซอร์สมีการเติบโตสูง เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว และมีความซับซ้อน ความท้าทายขององค์กร คือ พนักงานไม่มีความรู้เพียงพอ ดังนั้นหากสร้างเองจะมีต้นทุนมากกว่าการเช่า ดาต้า เซ็นเตอร์ เพราะนอกจากไม่ต้องลงทุนสร้างเอง หรือสร้างความรู้แก่พนักงานแล้ว ยังไม่ต้องห่วงเรื่องการบำรุงรักษา หรือข้อกำหนดต่างๆ ที่ต้องทำดาต้า เซ็นเตอร์เอง เพื่อนำเวลาที่เหลือไปทำเฉพาะธุรกิจที่ตนเองถนัด"

***โชว์มาตรฐานความปลอดภัยสูง

เพราะการจารกรรมข้อมูลไม่ได้มาจากภัยทางไซเบอร์เพียงอย่างเดียว เพราะหากมาจากมัลแวร์ หรือไวรัสที่เจาะเข้าระบบมา มันมีวิธีป้องกันและทำได้ยาก แต่คนต่างหากที่เป็นตัวการในการขโมยข้อมูล หรือทำให้ข้อมูลเสียหาย ดังนั้น การออกแบบดาต้า เซ็นเตอร์ของ ซุปเปอร์แนป ต้องทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าการเข้าออกดาต้า เซ็นเตอร์ ต้องปลอดภัย ไม่มีคนนอกเข้ามา

ซุปเปอร์ แนป จึงใช้นโยบายจ้างพนักงานประจำแทนการเอาต์ซอร์ส แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และแม่บ้าน ก็ต้องเป็นพนักงานประจำของบริษัทที่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่ทำให้ดาต้า เซ็นเตอร์เสียหาย

การเข้าเยี่ยมชม ดาต้า เซ็นเตอร์ จึงจำเป็นต้องแจ้งชื่อ ก่อนเดินทางไป จากนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะตรวจสอบรายชื่อ และพาเข้าไปด้านใน ซึ่งภายนอกกำแพงถูกสร้างไว้อย่างแน่นหนา ขณะที่ก่อนจะเข้าไปสู่ภายในอาคารจะต้องมีขั้นตอนการแจ้งชื่อ พร้อมโชว์บัตรประชาชน เพื่อให้เจ้าหน้าที่อนุญาตและเจ้าหน้าที่จะดำเนินการพาเข้าไปยังจุดที่ต้องการ ผ่านขั้นตอนการสแกนลายนิ้วมือของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลาที่ทำการเดินผ่านไปยังแต่ละห้อง นอกจากนี้ ยังต้องปฏิบัติตัวตามกฎอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษามาตรฐานการให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ ให้มั่นใจว่าไม่สามารถมีคนนอกเข้ามารุกล้ำข้อมูลของลูกค้าได้

***เปิดมาตรฐานจากอเมริกาสู่ไทย

สุนิตา เล่าต่อว่า ซุปเปอร์แนป ประเทศไทย เกิดขึ้นจากการร่วมทุนระหว่าง ซุปเปอร์แนป อินเตอร์เนชั่นแนล และบริษัทชั้นนำในประเทศไทย เช่น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยได้รับการออกแบบและปฏิบัติการด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงของสวิตซ์ (Switch) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานการออกแบบและการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลระดับเธียร์ 4 และเธียร์ 4 โกลด์ จากสถาบัน Uptime

สำหรับเนื้อที่ของซุปเปอร์แนป ประเทศไทย มีเนื้อที่ทั้งหมด 120,000 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล 2 เซ็กเตอร์ จำนวน 21,000 ตารางเมตร และสามารถขยายได้ถึง 6 เซ็กเตอร์ ซึ่งจะใช้พื้นที่ 63,000 ตารางเมตร ความจุของศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับข้อมูลได้ 5,300 แรค ด้วยกำลังไฟ 30 เมกะวัตต์ ซึ่งการใช้พลังงานสำหรับระบบไฟฟ้าใช้พลังงาน 20 เมกะวัตต์ และสามารถขยายรองรับกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 60 เมกะวัตต์

สามารถให้บริการได้แบบไม่มีดาวน์ไทม์ ให้บริการได้ตลอด 100% ประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน อยู่ที่ 1.35-1.45 ซึ่งดีกว่าทุกศูนย์ข้อมูลในกลุ่มประเทศอาเซียน ออกแบบและได้สิทธิบัตรระบบไฟฟ้าสำรอง 3 ระบบ ซึ่งปกติผู้ให้บริการทั่วไปมี 2 ระบบ มีการจ่ายพลังงานได้สูงสุด 33 กิโลวัตต์ต่อตู้ ซึ่งปกติมาตรฐานการจ่ายอยู่ที่ 8-10 กิโลวัตต์

ซุปเปอร์แนป สร้างห้องควบคุมการจ่ายไฟแยกอิสระออกมา ซึ่งสามารถติดตั้งระบบจ่ายไฟแบบมีความจุสูง โดยไม่มีผลกระทบต่อการบำรุงรักษาและการรักษาความปลอดภัย ระบบจ่ายไฟขนาด 10 เมกะโวลต์แอมแปร์ (MVA) ประกอบด้วย ห้องจ่ายไฟย่อยแยกจากกัน จำนวน 11 ห้อง โดยแต่ละห้องถูกกั้นด้วยผนังกันไฟเสริมเหล็กเพื่อป้องกันไฟลาม เมื่อเกิดเพลิงไหม้ที่ห้องใดห้องหนึ่ง

การก่อสร้างอาคาร มีความแข็งแรงกันพายุและฝนได้เป็นอย่างดี ซึ่งซุปเปอร์แนป ใช้เทคโนโลยีในการสร้างหลังคาแบบ 2 ชั้น ห่างกัน 3 เมตร แบบ Switch SHIELD หลังคาทำด้วยโลหะ สามารถต้านทานแรงลมได้ถึง 322 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และไม่มีสิ่งใดทะลุได้ 100%

ส่วนการระบายความร้อนของซุปเปอร์แนป ไม่ต้องยกพื้นเพื่อระบายความร้อน แต่ใช้การระบายความร้อนแบบ T-SCIF ลิขสิทธิ์ของซุปเปอร์แนป ที่แยกความร้อนออกมาต่างหากผ่านเส้นทางที่เป็นฉนวนไปสู่ระบบทำความเย็น

นอกจากนี้ ดาต้า เซ็นเตอร์ ของซุปเปอร์แนป มีผู้ให้บริการทางด้านการสื่อสารโทรคมนาคมและมีสายสัญญาณใยแก้วนำแสงเชื่อมต่อเข้าศูนย์ข้อมูลหลายเส้นทาง ทั้ง ดีแทค เอไอเอส ทรู ทีโอที กสท ทริปเปิล ทรี อินเตอร์ลิงค์ และซิมโฟนี่

***รายได้ 200-300 ล้านบาท

สุนิตา เผยว่า หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงไตรมาส 4 ปี 2560 ปัจจุบัน.มีธุรกิจภาคการเงิน และอี-คอมเมิร์ซ เป็นลูกค้าและมีรายได้ในปีนี้แล้วประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าตลาดในประเทศไทยมีการเติบโตในภาพรวมปีละ 10% อยู่แล้ว ซุปเปอร์แนป จึงมั่นใจว่าการเลือกประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในอาเซียน เป็นสิ่งที่ตัดสินใจถูกต้องแล้วหลังจากที่ได้ขยายธุรกิจไปยังยุโรปโดยเลือกลงทุนในประเทศอิตาลีไปแล้วก่อนหน้านี้