ถือเป็นสุดสัปดาห์ที่คึกคักเป็นพิเศษ เพราะ 26 ตุลาคม 2561 ไม่เพียงเป็นวันที่ไอโฟนรุ่นใหม่เริ่มส่งถึงมือคนไทย แต่ยังเป็นวันที่ร้านค้าปลีกทั่วไทยทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ เริ่มจุดพลุจำหน่าย iPhone XR รวมถึง XS และ XS Max อย่างเป็นทางการ สิ่งที่สัมผัสได้ คือ การวางจำหน่าย iPhone XS ในไทยมีพัฒนาการหลายด้านเมื่อเทียบกับ 9 ปีที่แล้วที่ iPhone เพิ่งเริ่มเปิดตลาดครั้งแรก
หนึ่งในพัฒนาการที่คนไทยเห็นชัด คือ การขาย iPhone XS ในช่วงสัปดาห์แรก คือ ทุกค่ายพยายามแย่งลูกค้า และเร่งทำแต้มแบบไม่มีใครยอมใคร ค่ายมือถือพยายามชูจุดขายส่วนลดค่าเครื่องเมื่อใช้งานร่วมกับแพกเกจ ขณะที่ร้านค้าปลีกทั่วไปโฟกัสที่โปรโมชันบัตรเครดิต แม้กระทั่งการใช้คะแนนสะสมบริการต่างๆ เพื่อแลกส่วนลดซื้อไอโฟนรุ่นใหม่ ทั้งหมดนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ทุกคนพยายามโกยแต้มให้อุ่นใจก่อนที่แอปเปิลสโตร์ (Apple Store) จะมาบุกตลาดไทย
***ยุคก่อนไอโฟนขายไทย
ไอโฟนนั้นถูกยกให้เป็นสินค้าพิเศษที่ทำยอดขายถล่มทลายตั้งแต่แรกเกิดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีข่าวว่ายอดขายไอโฟนทะลุตามเป้า 1 ล้านเครื่องในเวลาเพียง 74 วัน โดยรายงานจากสำนักข่าวเอพี ระบุว่า ไอโฟนเครื่องที่หนึ่งล้านของแอปเปิล ถูกจำหน่ายไปในกันยายน พ.ศ.2550
เวลานั้น สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ซีอีโอแอปเปิลให้ข้อสังเกตว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นเพลงยอดฮิตอย่างไอพ็อด (iPod) ยังต้องใช้เวลา 2 ปี จึงจะสามารถทำยอดขายได้ 1 ล้านเครื่อง เท่ากับไอโฟนนำห่างอย่างไม่เห็นฝุ่น จุดนี้นักวิเคราะห์มองว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประกาศลดราคาในช่วงนั้นลง 200 เหรียญสหรัฐ แอปเปิลแถลงเหตุผลการปรับราคาว่าต้องการดึงดูดใจผู้บริโภคให้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปี
ปฐม อินทโรดม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ.อาร์ อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด เคยประเมินเมื่อธันวาคม พ.ศ.2550 โดยยกให้ไอโฟนเป็นสินค้าแห่งปี 2550 เพราะถึงแม้ขณะนั้นจะยังไม่มีการขายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่มีผู้ครอบครองแล้วถึง 50,000 คน
ในที่สุด “ทรูมูฟ” จึงประกาศขาย iPhone 3G ในไทยครั้งแรกวันที่ 16 มกราคม 2552 ซึ่งหากคำนวณจากค่าแพกเกจเริ่มต้น ผู้ซื้อ iPhone 3G รุ่น 8 GB จะต้องเสียเงินทั้งสิ้น 35,775 บาท ส่วนในรุ่น 16 GB จะอยู่ที่ 39,275 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่อนจ่ายเป็นระยะเวลา 2 ปีที่ติดสัญญา สูงมากเมื่อเทียบราคากับเครื่องที่จำหน่ายอย่างผิดกฎหมายในประเทศไทยขณะนั้น (ราคาราว 23,000-30,000 บาท)
หลังจากถูกวิจารณ์ว่าแพงเกินไป ทรูมูฟ ปรับเพิ่มแพกเกจพิเศษบนเว็บไซต์ให้ลูกค้าทรู มีสิทธิซื้อไอโฟนเครื่องเปล่าโดยไม่มีสัญญาผูกมัด ในราคาเริ่มต้นที่ 24,500 บาท หรือเสียค่าเครื่อง 23,275 บาท ผูกสัญญาปีเดียว จำกัดให้ 1 คนรับ 2 สิทธิเท่านั้น
สิงหาคม 2552 คนไทยจึงเริ่มได้เห็นบรรยากาศรับเครื่องคึกคัก มีการบันทึกชื่อผู้ที่ได้รับเครื่องคนแรกอย่างถูกกฎหมายของประเทศไทย คือ นายจุลการ วัฒนสุรีย์พจน์ เป็นลูกค้าคนแรกที่รับเครื่อง TrueMove iPhone 3G S Wi-Fi ที่ร้านทรูมูฟสแควร์ สยามสแควร์ ซอย 2 เมื่อเวลา 09.00 น.
*** 3 ค่ายเริ่มขยับ
ทรูมูฟ ประกาศความสำเร็จยอดจำหน่าย iPhone ในเมืองไทย ทะลุ 100,000 เครื่องเมื่อธันวาคม 2552 ความสำเร็จสวยงามทำให้ 1 ปีถัดมา ดีแทค ประกาศควักกระเป๋า 100 ล้านบาท ทำตลาด iPhone ในช่วงมีนาคม 2553
ดีแทค ให้สัมภาษณ์เวลานั้นว่า ตั้งเป้าข้ามหน้าทรูมูฟ ขอเป็นเบอร์หนึ่งผู้ให้บริการไอโฟนในไทย พร้อมกับคุยฟุ้งว่า ขนาดไม่ทำตลาดเลยยังมีผู้ใช้ไอโฟนในเครือข่ายแล้วมากกว่า 87,000 ราย
ไม่นาน กันยายน 2553 เอไอเอส ก็ร่อนจดหมายประชาสัมพันธ์ จับใจความได้ว่ากำลังจะเปิดตัวไอโฟน 4 เร็วๆ นี้ ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็น 1 ในไม่กี่ประเทศที่ทุกโอเปอเรเตอร์รายใหญ่ได้สิทธิขาย iPhone 4 ในเวลานั้น
*** พลิกรูปแบบการจองและซื้อ
การสั่งจองไอโฟนรุ่นเก่าอย่าง iPhone 4 นั้น เป็นการจองโดยที่คนไทยไม่ทราบราคา ทั้งหมดเป็นการซื้อด้วยใจ และความต้องการในผลิตภัณฑ์ล้วนๆ สะท้อนว่า ราคาไม่ใช่สิ่งสำคัญในการตัดสินใจซื้อเสมอไป แต่ความแข็งแกร่งในตัวสินค้าต่างหากที่มีความสำคัญมากกว่า
การจองเครื่องโดยที่ไม่รู้ราคาเกิดขึ้นในช่วงก่อนตุลาคม 2555 โอเปอเรเตอร์ไทยเริ่มหันมาเปิดให้สาวกแอปเปิล “ลงทะเบียนแสดงความสนใจซื้อไอโฟน” การลงทะเบียนนี้เกิดขึ้นก่อนกำหนดการเปิดสั่งจองเครื่องจริงราว 1 สัปดาห์ ซึ่งในเวลานั้นก็ยังไม่ชัดเจนว่ารูปแบบการสั่งจองจะถูกประกาศในรูปแบบใด
ต่อมา โอเปอเรเตอร์ทุกรายจะพยายามพัฒนากระบวนการรับเครื่องให้ผู้บริโภคไม่ต้องรอนานนับชั่วโมงอย่างที่เป็นมา รวมถึงการปรับให้ไม่ต้องมีการชำระเงินมัดจำล่วงหน้าหลักพันบาท ขณะเดียวกัน การทำราคาร่วมกับแพกเกจของโอเปอเรเตอร์ พร้อมการทำโปรโมชันผ่อน 0% ก็เป็นจุดที่ทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจไอโฟนมากขึ้น บนส่วนลดค่าเครื่องที่ทุกค่ายต้องการแข่งขัน เพื่อแย่งผู้ใช้กลุ่มเพาเวอร์ยูสเซอร์ ที่ใช้งานโทรศัพท์เยอะทั้งโทร. และเล่นเน็ต
ล่าสุด สำหรับ iPhone XR, XS และ XS Max หากใครขยับขึ้นไปใช้งานแพกเกจระดับพันบาทขึ้นไปก็จะได้ส่วนลดค่าเครื่อง 7,700-10,200 บาท จุดนี้ผู้บริโภคจะต้องเตือนใจตัวเองว่าควรคำนึงถึงแพกเกจที่ใช้งานเป็นหลักมากกว่า เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด เพราะหากมองถึงส่วนลดค่าเครื่อง แต่ต้องจ่ายค่าแพกเกจที่แพงขึ้น แล้วใช้งานได้ไม่คุ้มค่า ก็จะเสียประโยชน์จากการใช้งานแพกเกจเหล่านี้ที่จะติดสัญญาในการใช้งาน 6 เดือน-1 ปี โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงแพกเกจ ก็จะโดนเรียกเก็บส่วนลดค่าเครื่องคืน
ที่สำคัญ สิ่งที่ชาวไอโฟนต้องคิดให้ดีก่อนซื้อแพกเกจ คือ เงื่อนไขยิบย่อยในแพกเกจราคาหลักพันเหล่านี้ เพราะอาจจะถูกจำกัดปริมาณข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ต
อีกสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการซื้อขายไอโฟนไทย คือ การผ่อนชำระ ซึ่งคนไทยได้เห็นการทำโปรโมชันกับบัตรเครดิตให้ผ่อนสูงสุดหลายเดือนหลากปี ซึ่งไม่เพียงค่ายบัตรเครดิต หรือธนาคารที่ทำโปรโมชันเงินคืนเพิ่มเติม 2-3% ให้เลือกคู่ไปด้วย แต่ยังมีห้างร้านค้าปลีกก็พยายามเสนอส่วนลดจากโครงการแลกรางวัลลูกค้าอีกทาง
ถัดจาก iPhone XR หรือ XS และ XS Max การขายไอโฟนไทยในปีที่ 10 จะเข้าสู่ยุคที่ Apple ลงมาลุยตลาดเองด้วย นั่นคือ Apple Store ที่จะเริ่มให้บริการในต้นเดือนพฤศจิกายน 2561 แรงกระเพื่อมจากตลาดไทยจะเป็นอย่างไร ใครจะได้รับผลกระทบจากการเกิดขึ้นของ Apple Store ไทยบ้าง ทั้งหมดนี้ยังเป็นเรื่องที่หลายคนจับตาใกล้ชิด รวมถึงความขลังของสมรภูมิไอโฟนในอนาคต