เฟซบุ๊ก (Facebook) เผยรายละเอียดความเสียหายจากการแฮกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ระบุแฮกเกอร์ได้เข้าถึงหมายเลขโทรศัพท์ และที่อยู่อีเมลของผู้ใช้ Facebook เกือบ 30 ล้านราย ในจำนวนนี้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอื่นด้วยราว 14 ล้านราย ทั้งข้อมูลที่อยู่ สถานะความสัมพันธ์ ศาสนา และประวัติการเสิร์ช
การเปิดเผยความเสียหายครั้งนี้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมจากที่ Facebook ออกมายอมรับว่าถูกแฮกครั้งแรกเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ครั้งนั้น Facebook ถูกรายงานว่า บาดเจ็บทั้งตัว เพราะขอบเขตการแฮกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ล่าสุด กาย โรเซน (Guy Rosen) รองประธาน Facebook ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้เอฟบีไอ กำลังสอบสวนกรณี Facebook ถูกแฮกอย่างจริงจัง โดย FBI มีนโยบายขอให้บริษัทไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ รวมถึงไม่แบ่งปันรายละเอียดอื่นที่อาจกระทบต่อรูปคดี
รายละเอียดครั้งใหม่สะท้อนว่า Facebook ลดจำนวนผู้ได้รับผลกระทบลง จากเดิมที่เคยประกาศในช่วงแรกว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ได้ 50 ล้านบัญชี โดย 30 ล้านคนเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบ และราว 50% เท่านั้นที่ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวเชิงลึก
ข้อมูลส่วนตัวเชิงลึกที่ Facebook ระบุว่าผู้ใช้ 14 ล้านคนได้รับผลกระทบ ข้อมูลชื่อผู้ใช้, เพศ, ตำแหน่งที่อยู่/ภาษา, สถานะความสัมพันธ์, ศาสนา, เมืองบ้านเกิด, เมืองที่อาศัยอยู่, วันเกิด, ประเภทอุปกรณ์ที่ใช้, การศึกษา, การทำงาน, สถานที่ 10 แห่งสุดท้ายที่เช็กอิน หรือถูกแท็ก, เว็บไซต์, ผู้คน หรือเพจที่ติดตามอยู่ และการค้นหา 15 รายการล่าสุด
Facebook ย้ำว่าจะส่งข้อความถึงผู้ใช้ทั้ง 30 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบในเร็ววัน และจะเผยแพร่ข้อมูลที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ใช้อีกทาง
ผู้ใช้ Facebook สามารถตรวจสอบว่าเป็น 1 ใน 30 ล้านคนที่ตกเป็นเหยื่อถูกเข้าถึงข้อมูลได้หรือไม่ ด้วยการเปิดศูนย์ช่วยเหลือ เมื่อลงชื่อใช้งานแล้ว ด้านล่างของเพจจะมีเมนูให้คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ผู้ใช้เมนูภาษาอังกฤษสามารถคลิกที่เมนู “Is my Facebook account impacted by this security issue?” เพื่อตรวจสอบว่าบัญชี Facebook ของตัวเองได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านความปลอดภัยนี้หรือไม่
If you're among those who were worst affected by the Facebook hack this is what you will see when you go to this link to check if your account was breached (you need to be logged into Facebook for this to work) https://t.co/vxXrD6K3WP pic.twitter.com/XiV5YRRArM
— Donie O'Sullivan (@donie) October 12, 2018