หนึ่งในความท้าทายสำคัญของซัมซุงในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คือ การทำตลาด Samsung Galaxy Note9 ที่ต้องก้าวผ่านความสำเร็จของ Note 8 ในปีที่ผ่านมาให้ได้ เพราะแม้แต่ในช่วงเปิดจองยังพบว่า ยอดของ Note9 ทำได้ราว 80% ของ Note 8 เท่านั้น
เพราะต้องย้อนกลับไปว่าในยุคที่ Note 8 ออกมา เป็นช่วงที่กลุ่มผู้ใช้งานสินค้าในตระกูล Note ต่างรอคอย เนื่องจากปัญหาแบตเตอรีของ Note 7 ที่เกิดขึ้นในปีก่อนหน้านั้น จึงทำให้ทั้งยอดจอง และยอดขายของ Note 8 ทำสถิติได้สูงเป็นประวัติการณ์ของซัมซุงในเวลานั้น
ขณะเดียวกัน ด้วยสถานการณ์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาของซัมซุง ในการจำหน่าย Galaxy S9 และ S9+ ก็ไม่ได้ยอดขายตามที่ตั้งเป้าไว้ ภาระจึงมาตกอยู่กับเรือธงในช่วงครึ่งปีหลังอย่าง Note 9 ที่ทางซัมซุงหวังใช้เป็นตัวแปรสำคัญในการรักษาส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนไว้ในปีนี้
ข้อมูลล่าสุดที่สื่อในเกาหลีใต้รายงานออกมาพบว่า ในช่วงเปิดให้จอง Note 9 ตั้งแต่ช่วงวันที่ 10-21 สิงหาคมที่ผ่านมา มียอดจองเข้ามาสูงกว่าในช่วงของ S9 และ S9+ ในช่วง 30-50% แต่ก็ยังอยู่ในสัดส่วนประมาณ 80% เมื่อเทียบกับช่วงยอดจอง Note 8
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตถึงปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดจอง Note 9 ในเกาหลีใต้เติบโตขึ้น มาจากการที่เป็นประเทศบ้านเกิด ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจกับความสามารถของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกมา โดยปัจจุบันซัมซุง มีส่วนแบ่งในตลาดเกาหลีใต้เกิน 50% ส่วนในตลาดอย่างสหรัฐฯ จะอยู่ที่ราว 25%
ในขณะที่แบรนด์จีนรายอื่นๆ อย่างเสี่ยวหมี่ ออปโป้ วีโว รวมถึงเอซุส ก็จะทำตลาดสมาร์ทโฟนไฮเอนด์อยู่ในระดับราคาต่ำกว่า 20,000 บาท ดังนั้น การที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น ก็จะเริ่มเกิดการตั้งคำถามถึงการใช้งานว่า คุ้มไหมที่จะจ่ายเงินมากกว่า 30,000 บาท เพื่อให้ได้สมาร์ทโฟน 1 เครื่องมาใช้งาน
จับความต้องการผู้บริโภค เพื่อให้กลายเป็นผู้นำนวัตกรรม
ในจุดนี้ วิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด มองถึงกลุ่มเป้าหมายของ Note 9 ว่าจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มี Passion ในการทำงาน และต้องการอุปกรณ์ที่จะมาช่วยยกระดับการทำงานให้ดีขึ้น โดยตั้งชื่อกลุ่มคนเหล่านี้ว่าเป็น Young Achievers ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี
ขณะเดียวกัน ด้วยการที่ซัมซุงเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนเวลานี้ ทุกสิ่งที่ถูกคิดค้นออกมาจะกลายเป็นต้นแบบของนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างที่ผ่านมา การพัฒนา Samsung DeX ขึ้นมาเพื่อให้เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับจอภาพ เพื่อมาใช้งานแทนคอมพิวเตอร์ก็เริ่มเห็นแบรนด์อื่นนำคอนเซ็ปต์ดังกล่าวไปใช้งาน
ประเด็นถัดมา คือ ในช่วงที่มีการวางจำหน่าย S9 ยอดขายก็ไม่ได้ติดเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ขายดีที่สุดของซัมซุง ดังนั้น การที่ Note9 จะมียอดจองสูงกว่า S9 ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนการที่นำไปเทียบกับ Note 8 ก็อาจจะเห็นภาพได้ไม่ชัดเจนมากนัก เพราะถือว่าในช่วงปีก่อนหน้าสินค้าตระกูล Note ไม่ได้ถูกนำออกมาจำหน่าย
ในมุมหนึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นของซัมซุง เพราะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคยังมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนมาใช้งานสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ที่มีฟีเจอร์สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ก็อาจจะทำให้ซัมซุงต้องทำการบ้านหนักขึ้น เพราะกลุ่มผู้ใช้งานสินค้าในตระกูล Note จะค่อนข้างจำกัดกว่าในตระกูล S และกลายมาเป็นผู้ซื้อในช่วงแรกไปหมดแล้ว
ขณะเดียวกัน รุ่นที่ได้รับความนิยมของ Note 9 กลับกลายเป็นรุ่น 512 GB ที่ตอนนี้ยังไม่มีความแน่ชัดว่าในไทยจะนำเข้ามาทำตลาดต่อหรือไม่ หลังจากที่เปิดให้ลูกค้าที่จองผ่านช่องทางออนไลน์ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสามารถซื้อเครื่องรุ่นดังกล่าวในราคา 33,900 บาท และมียอดจองครบตามจำนวนไปแล้ว
แม้ว่าทางไทยซัมซุง จะไม่มีการเปิดเผยยอดจอง Note 9 ออกมาอย่างเป็นทางการ เพียงแต่ระบุว่ามียอดจองมากกว่าในช่วง S9 และ S9+ เช่นเดียวกับในต่างประเทศ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ทางซัมซุงเริ่มมีการทยอยจัดส่งเครื่องถึงมือผู้ใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเร็วกว่าหลายๆ ประเทศกลุ่มแรกที่กำหนดจำหน่ายสินค้าในวันที่ 24 สิงหาคมเสียอีก
ส่วนอีกแง่มุมหนึ่งที่ถูกตั้งคำถามขึ้นมา คือ เรื่องของราคาจำหน่าย Note 9 ที่ในสหรัฐฯ เริ่มที่ประมาณ 1,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือในประเทศไทยที่เริ่มต้นที่ราว 33,900 บาท ซึ่งช่วงราคาจำหน่ายดังกล่าวเริ่มถูกปรับขึ้นมาตั้งแต่ยุคของ Note 8 ที่เปิดตัวมาในราคาที่เท่ากัน
ในปัจจุบันแบรนด์ที่ทำตลาดสมาร์ทโฟนในระดับราคาเกิน 30,000 บาท ในตลาดจะมีอยู่ด้วยกันหลักๆ เพียง 2 แบรนด์เท่านั้น คือ ซัมซุง กับทางแอปเปิล ส่วนทางหัวเว่ย ที่ในช่วงหลังเร่งเครื่องขึ้นมาก็จะอยู่ในช่วงราคาเริ่มต้นประมาณ 27,900 บาท เช่นเดียวกับทางโซนี่ที่วางขายสมาร์ทโฟนในระดับราคาดังกล่าว
แม้แต่เรื่องของการถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่ก่อนหน้าที่ซัมซุงมีการนำเลนส์ถ่ายภาพที่มีรูรับแสงต่ำมาใช้ ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นเลนส์ที่สามารถปรับรูรับแสงได้ ก็เริ่มมีแบรนด์อื่นนำแนวคิดดังกล่าวไปใช้งานแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้น ซัมซุงจึงไม่สามารถหยุดพัฒนานวัตกรรม เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำได้
“นวัตกรรมทุกอย่างของซัมซุงเกิดขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภค ที่สำคัญคือต้องมาในเวลาที่ถูกต้อง อย่างเรื่องของการเชื่อมต่อที่ในปัจจุบันประเทศไทยมีเครือข่ายที่รองรับความเร็วระดับ Gigabit ตัว Note9 ก็สามารถเชื่อมต่อความเร็วระดับดังกล่าวได้ รวมถึงการพัฒนาในส่วนอื่นๆทั้งการประมวลผล แบตเตอรี กล้องถ่ายภาพให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น”
ทำไม Samsung Galaxy Note 9 ถึงไม่ใช้พรีเซ็นเตอร์
วรรณา สวัสดิกูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด ไทยซัมซุง ให้คำตอบที่น่าสนใจว่า ด้วยตัวผลิตภัณฑ์ของ Note 9 ที่มีจุดเด่นที่ชัดเจน ทำให้ตัวสินค้าเป็นพระเอกอยู่แล้ว ถ้ามีการนำพรีเซ็นเตอร์มาช่วยก็จะเป็นการกลบความโดดเด่นของ Note 9 ลงไป
ดังนั้น ซัมซุงจึงเลือกใช้แนวทางของกลุ่มผู้นำทางความคิด (Influrencer) ที่มีการใช้งานจริง มาเป็นตัวแทนในการสื่อสารให้เห็นถึงการนำไปใช้จริงมากกว่า โดยเฉพาะการใช้งาน S-Pen ที่ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Note ซีรีส์ ที่ทำให้ผู้ใช้หลายๆคนติดใจ
โฆษณาที่บอกความจริงครึ่งเดียว
อย่างไรก็ตาม จากการปล่อยคลิปโฆษณา Note 9 ออกมาตามช่องทางการสื่อสารต่างๆ พบว่ามีการนำเสนอข้อมูลในเรื่องของพื้นที่เก็บข้อมูลของ Note 9 ว่าสามารถเก็บข้อมูลได้สูงถึง 1 TB พร้อมกับการมีดอกจันทร์ตัวเล็กๆ ว่า พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 512 GB และสามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุดอีก 512 GB
แม้ว่าในแง่ของการคุ้มครองผู้บริโภค ซัมซุง จะมีการแจ้งรายละเอียดอย่างชัดเจนแล้ว แต่ที่ถูกตั้งคำถามตามมาก็คือ ทำไมถึงเลือกบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะว่าทางซัมซุงก็ยังไม่มีความชัดเจนถึงการนำรุ่น 512 GB เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เนื่องจากระดับราคาปกติของรุ่นดังกล่าวจะอยู่ที่ 39,900 บาท
ที่สำคัญก็คือ ทางซัมซุง ไม่ได้มีการแถมไมโครเอสดีการ์ดขนาด 512 GB ให้แก่ลูกค้า ทำให้ลูกค้าที่ซื้อไปถ้าต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลให้อยู่ในระดับ 1 GB จริงๆ ก็ต้องลงทุนซื้อเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท ดังนั้น จะเป็นธรรมกับผู้บริโภคมากขึ้น เมื่อสื่อสารให้เห็นถึงความจริงใจจะดีที่สุด
******
Note 9 รุ่นทองแท้ เคาะราคา 1.9 ล้านบาท
คาเวียร์โรยัลกิฟต์ (Caviar Royal Gift) บริษัทสัญชาติรัสเซีย มักจะหยิบสมาร์ทโฟนรุ่นเก๋มาตกแต่งด้วยทองคำแล้วจำหน่ายในราคาไม่ธรรมดา จากที่เคยพัฒนา iPhone X และ Nokia 3310 รุ่นทองคำ ล่าสุดถึงคิว Note 9 รุ่นทองแท้ ซึ่งเคาะราคาราว 58,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1.9 ล้านบาท
Caviar ตั้งชื่อ Note 9 รุ่นทองแท้ว่า Galaxy Note 9 Fine Gold Edition สนนราคา 58,000 เหรียญสหรัฐฯ นี้แพงกว่า Note 9 รุ่นปกติที่ราคาเริ่มต้น 999 เหรียญสหรัฐฯ จุดนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของ Caviar เพื่อตอบโจทย์กลุ่มมหาเศรษฐีที่ต้องการความหรูหราจาก Note 9 เวอร์ชันทองแท้
Galaxy Note 9 Fine Gold Edition มาพร้อมแผงด้านหลัง ซึ่งบริษัทหล่อขึ้นเองจากทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 กิโลกรัม ราคาเริ่มต้นคือ 1.89 ล้านบาท (57,600 เหรียญสหรัฐฯ) สำหรับรุ่น 128 GB ขณะที่รุ่น 512 GB จะมีราคาเพิ่มขึ้นอีก 300 เหรียญสหรัฐฯ
ถ้า 1.9 ล้านบาทแพงเกินไป Note 9 รุ่นทองแท้ยังมีตัวเลือกรองลงมาในราคาที่ประหยัดกว่าอีก 9 แบบ สนนราคาเฉลี่ยราว 1.2 แสนบาท (3,700 เหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งจะมีการออกแบบแกะสลักลวดลายต่างกันไป
ไม่เพียง Note 9 บริษัทรัสเซีย Caviar ยังหยิบ Galaxy S9 มาประดิษฐ์เป็นรุ่นทองคำด้วย ผู้สนใจสามารถหยอดกระปุกเตรียมเงินไว้ได้เลย.