ความเปลี่ยนแปลงหลักๆที่เกิดขึ้นบน Samsung Galaxy Note 9 ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่กับปากกา S-Pen เป็นหลัก ด้วยการเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อบลูทูธเข้ามา เพื่อให้ตัว S-Pen สามารถสั่งงาน Note 9 ได้
ส่วนในแง่ของดีไซน์ มีการปรับแต่งเพิ่มเติมเล็กน้อย โดยยังคงนำรูปลักษณ์ของ Note 8 มาใช้งานที่เป็นจอเป็นแสดงผลแบบ Infiniti Display ขนาด 6.4 นิ้ว (2960 x 1440 พิกเซล) ในสัดส่วน 18.5:9 ที่ส่วนบนหน้าจอมีกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
หลังเครื่องเป็นจุดที่ช่วยให้สังเกตตัวเครื่องได้ง่ายสุด เนื่องจากมีการย้ายตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือลงมาอยู่ล่างกล้องคู่เลนส์มุมกว้างความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่สามารถปรับรูรับแสงได้ระหว่าง f/1.5 และ f/2.4 และเลนส์มุมแคบ 12 ล้านพิกเซล f/2.4 คู่กับแฟลช และเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เช่นเดียวกับใน Galaxy S9+
รอบๆเครื่องทางฝั่งซ้ายจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเรียกใช้งาน Bixby ส่วนทางขวาเป็นปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ด้านบนจะมีถาดใส่ซิมการ์ดแบบ 2 ซิม และช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดที่รองรับความจุสูงสุด 512 GB
ที่น่าสนใจคือด้านล่างที่ยังมีพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. มาให้คู่กับพอร์ต USB-C และลำโพง ตามด้วยช่องใส่ปากกา S-Pen ที่ยังใช้รูปแบบของการกดที่ท้ายด้ามปากกาเพื่อดึงปากกาออกมาอยู่เช่นเดิม
ส่วนหน่วยประมวลผลที่ใช้ภายจะเป็น Exynos 9810 ที่เคยนำมาใช้แล้วใน S9+ เช่นเดิม แต่มีการเพิ่ม RAM ขึ้นมาสูงสุดที่ 8 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกเริ่มต้นที่ 128 GB / 512 GB ขณะที่แบตเตอรีเพิ่มขึ้นมาจากใน Note 8 ที่อยู่ 3,300 mAh เป็น 4,000 mAh
ในส่วนของการเชื่อมต่อก็จะรองรับ 4G LTE ใช้งานเครือข่ายในประเทศไทยได้เต็มประสิทธภาพอยู่แล้ว ฟีเจอร์ที่เหลืออย่างกันน้ำกันฝุ่น IP 68 การใช้ระบบสแกนใบหน้าคู่กับสแกนม่านตา ระบบชาร์จเร็ว และชาร์จไร้สายก็มีมาให้เช่นเดิม
กลับมาในจุดที่น่าสนใจ คือเรื่องความสามารถของ S-Pen ที่เมื่อปากกาสามารถเชื่อมต่อกับ Note 9 ผ่านบลูทูธได้ ก็จะช่วยปลดล็อกความสามารถเพิ่มเติม จากเดิมที่ผู้ใช้สามารถทำได้เพียง Air View หรือการนำปากกาไปจ่อบริเวณหน้าจอ เพื่อสั่งงานคู่กับปุ่มกด
ก็จะกลายเป็นสามารถกดปุ่มที่ปากกา S-Pen เพื่อใช้ควบคุมแอปพลิเคชันต่างๆได้ โดยซัมซุง ได้ยกตัวอย่างสถานการณ์ใช้งานอย่างเช่นใช้เป็นปุ่มกดชัตเตอร์กล้อง ใช้กดเปลี่ยนสไลด์ขณะพรีเซนเทชัน รวมไปถึงการสั่งการ YouTube
ที่น่าสนใจคือเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตแอปพลิเคชัน สามารถเข้าถึงชุดคำสั่ง (Open APIs) ในการพัฒนาฟังก์ชันเพิ่มเติมเพื่อให้ใช้งานคู่กับ S-Pen ในการควบคุมได้ด้วย ทำให้ในอนาคตอาจจะได้เห็นการสั่งงานที่หลากหลายขึ้น
สำหรับฟังก์ชันการทำงานของ S-Pen เดิมอย่างระดับแรงกด 4,096 ระดับเช่นเดิม ที่มีการออกแบบเพิ่มเติมให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนเขียนอยู่บนกระดาษมากขึ้น พร้อมความสามารถเดิมใน Samsung Note ที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างมาใน Note 8
ต่อมาในส่วนของกล้อง Note 9 ใช้สเปกกล้องเดียวกับบน S9+ ที่มากับกล้องคู่เลนส์มุมกว้าง และมุมแคบ (Tele) ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการปรับรูรับแสงในเลนส์มุมกว้างได้ f/1.5 เพื่อใช้เก็บภาพในที่แสงน้อย และ f/2.4 เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด
แต่ด้วยช่วงระยะเวลาในการเปิดตัวที่ต่างกันทำให้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในให้ฉลาดขึ้น ด้วยการนำ AI มาช่วยในการโฟกัส โดยระบบจะมีการตรวจจับวัตถุในภาพและปรับแต่งสีออกมาให้สมจริงมากที่สุด เช่นเดียวกับการตรวจจับว่าวัตถุมีการสั่นไหว หรือเบลอ เพื่อให้ทำการถ่ายภาพใหม่ได้ทันที
สุดท้ายคือในส่วนของการเชื่อมต่อกับจอภาพ เพื่อใช้งานแทนพีซี ที่ก่อนหน้านี้ซัมซุงมีการนำเสนอการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S และ Note เข้ากับ Samsung DeX ที่เป็นแท่นวางโดยเฉพาะ พอมาใน Note 9 ก็เปลี่ยนมาให้สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพผ่านสายได้โดยตรง ช่วยให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจจากการเปิดตัวในครั้งนี้คือเรื่องของการที่ ซัมซุง พลาดหลุดความสามารถของ S-Pen ที่เชื่อมต่อบลูทูธได้ออกมาก่อน ซึ่งตามปกติแล้วทางซัมซุงจะเก็บข้อมูลฟีเจอร์ต่างๆภายในเป็นความลับ ที่มีหลุดออกมาจะมีเฉพาะภาพของตัวเครื่องเท่านั้น
กับอีกจุดหนึ่งคือเรื่องการโปรโมทที่ซัมซุงทยอยโปรโมทความสามารถใหม่ของ Note 9 ทั้งเรื่องของแบตเตอรี ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตั้งแต่ปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ประกอบกับการประกาศเปิดจองของ 3 ค่ายมือถือในวันที่ 10 ส.ค. ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นของซัมซุงที่ต้องเร่งเครื่องวางจำหน่ายให้เร็วที่สุด
สำหรับ Samsung Galaxy Note 9 มีวางจำหน่าย 3 ได้แก่ สีโอเชี่ยนบลู (ที่มาพร้อมกับ S Pen สีเหลือง สีเมทัลลิก คอปเปอร์ (Metallic Copper) และสีมิดไนท์ แบล็ค (Midnight Black) ในราคา 33,900 บาท โดยเปิดให้จองในช่วง 10 - 12 ส.ค. ก่อนส่งมอบเครื่องในช่วงวันที่ 22-24 ส.ค.
โดยมีโปรโมชันที่น่าสนใจคือ เมื่อจองผ่านซัมซุงแบรนด์ช็อป ร้านค้าที่ร่วมรายการ เลือกรับของกำนัลมูลค่า 6,000 บาท และรับ S Pen Limited Edition สี Lavender Purple มูลค่า 850 บาท ฟรี พร้อมสิทธิรับประกันหน้าจอแตกนาน 1 ปี ในกรณี ตก แตก ร้าว
กรณีจองผ่านร้านค้าออนไลน์ เฉพาะลาซาด้า และช็อปปี้ รับสิทธิ์อัพเกรด เพิ่มความจุเป็น 512 GB จาก 128 GB ได้ในราคาปกติ และรับประกันหน้าจอแตกนาน 1 ปี ในกรณี ตก แตก ร้าว
ส่วนผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ รับส่วนลดกว่า 12,000 บาท โดยเป็นไปตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการแต่ละราย