ประเทศไทยถูกจัดอยู่อันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีการนำมาปัญญาประดิษฐ์มาใช้คิดเป็น 17.1% ขององค์กรทั้งหมดในประเทศ แต่จำนวนผู้เชี่ยวชาญกลับมีไม่เพียงพอ ขณะที่อินโดนีเชียอยู่อันดับ 1 แต่ภูมิภาคนี้ยังตามหลังกลุ่มเอเชียเหนือ อยู่หลายขุม
ผลการสำรวจล่าสุด ซึ่งจัดทำโดย IDC บริษัทวิจัยการตลาด และให้คำปรึกษาด้าน IT ชั้นนำของโลกในหัวข้อ IDC Asia/Pacific Enterprise Cognitive/AI survey ชี้ให้เห็นว่า การนำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาใช้ในภูมิภาคนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองภาพรวมของทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 14% เปรียบเทียบกับเพียง 8% ของปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่ามีหลายบริษัทนำปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้ได้อย่างอัจฉริยะของระบบคอมพิวเตอร์ (AI/cognitive intelligence) เข้ามาฝังไว้ในกระบวนการทำงานมากขึ้น
มีผู้ตอบแบบสำรวจถึง 52% จัดลำดับให้ความต้องการค้นหาข้อมูลข่าวสารความเข้าใจเชิงลึกทางธุรกิจ (business insights) ได้ดีขึ้นเป็นพลังผลักดันที่สำคัญที่สุดในการนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ เหตุผลนี้ถูกเลื่อนจากอันดับ 3 ในปีก่อนขึ้นมา เผยให้เห็นว่า ตลาดในภูมิภาคนี้มีกำลังมีวุฒิภาวะ (maturity) เพียงพอที่จะนำ AI มาช่วยขยายธุรกิจได้ เหตุผลอื่นในลำดับต้นๆ ที่เป็นตัวผลักดันการนำ AI เข้ามาใช้มีเรื่องของความต้องการเพิ่มความเป็นอัตโนมัติในกระบวนการทำงาน (51%) และปรับปรุงความสามารถในการผลิต (42%)
ประเทศอินโดนีเซีย เป็นผู้นำอันดับหนึ่งของภูมิภาคในการนำ AI เข้ามาใช้ถึง 24.6% ขององค์กรทั้งหมดในประเทศ ตามด้วยอันดับสองคือประเทศไทย (17.1%) สิงคโปร์ (9.9%) และมาเลเซีย (8.1%) ประเภทการใช้งานในระดับต้นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ใช้สร้าง algorithm ในการคาดการณ์ตลาด (17%) และการบริหารจัดการสินทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นอัตโนมัติ (11%)
ต้นทุนสูง-ขาดผู้เชี่ยวชาญ อุปสรรคสำคัญ
แม้ว่าการนำ AI เข้ามาใช้จะสูงขึ้น แต่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ยังตามหลังในภูมิภาคเอเชียเหนือ ในเรื่องของการกำหนดให้ AI เป็นวาระหลักในแผนเชิงกลยุทธ์ของตน อย่างเช่น มีบริษัทมากกว่า 80% ในประเทศจีน และเกาหลีใต้ เชื่อว่าการที่ตนมีความสามารถในเชิง AI จะเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ ต่อการประสบความสำเร็จ และการมีความสามารถเชิงแข่งขันในอนาคตอันใกล้ เปรียบเทียบกับบริษัทที่เชื่อในเรื่องนี้ในประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย มีไม่ถึง 40%
การขาดทักษะและความรู้ (23%) และต้นทุนโซลูชันด้าน AI ที่สูง (23%) เป็นอุปสรรคสำคัญในการนำ AI มาใช้งานตามความเห็นของผู้ตอบแบบสำรวจ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยภาพรวมยังล้าหลังกว่าภูมิภาคเอเชีย/แปซิฟิก (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) เป็นสัญญาณเตือนภัยให้องค์กรต่างๆ ในภูมิภาคนี้ควรจะรีบนำ AI มาใช้เสียโดยเร็ว ตัวอย่างเช่น 40% ขององค์กรในประเทศไทยตอบว่าอยากจะให้ระบบ ERP ของตนมี AI เข้ามาช่วยงาน ชี้ให้เห็นความต้องการค่อนข้างสูงที่อยากให้ใช้ AI มาช่วยในการชี้นำ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม พบว่าองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยตอบแบบสำรวจเป็นเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างสูงอันดับแรกเลยว่า การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เป็นอุปสรรคที่สำคัญมากๆ ประกอบกับมีองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยถึง 80% เห็นว่า ความสามารถของ AI เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการอยู่รอดในเชิงการแข่งขันขององค์กรของตนในอนาคต ถือว่าสูงที่สุดในอาเซียนเลย
“AI และการวิเคราะห์จะเพิ่มความสามารถให้พนักงาน และเป็นพลังสำคัญในการผลักดันองค์กรให้ประสบความสำเร็จ เรารู้สึกยินดีมากที่จะได้เห็นองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยตระหนักถึงการเพิ่มความสามารถในการผลิต (productivity) และประสิทธิภาพในการทำงาน (efficiency) ด้วยการนำ AI เข้ามาใช้” นายณัฐพล อภิลักษณ์โตยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าว
อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นจริง และต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน จำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรธุรกิจและภาครัฐในไทยจะต้องร่วมมือกันพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้อง และทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์เป็นเรื่องที่ทุกองค์กรสามารถเข้าถึงได้
สำหรับ IDC Asia/Pacific Enterprise Cognitive/AI survey เป็นรายงานการศึกษาที่จัดทำขึ้นทุกๆ ปี เพื่อศึกษาแนวโน้มการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ความท้าทายและอุปสรรคสำคัญ และการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ ทางธุรกิจ ในปี 2018 การศึกษานี้ครอบคลุมผู้บริหารและผู้นำทาง IT ของธุรกิจจำนวน 502 คนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจ 146 คนอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย)