ท่ามกลางกระแส 4.0 เทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในวงการอุตสาหกรรม หนีไม่พ้น Industrial Internet of Things หรือ IIoT โดยถูกนำมาใช้มากขึ้นในปัจจุบัน เพื่อพัฒนาระบบอัตโนมัติที่สำหรับใช้ควบคุมการผลิตแบบแยกส่วน หรือ Discrete Manufacturing โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ผลิต ทำให้การสำรองสินค้าคงคลัง และการใช้พลังงานภายในโรงงานลดลง
ขณะที่การควบคุมการผลิตและคุณภาพของสินค้ากลับมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น รวมถึงโรงงานผู้ผลิตยังได้รับข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการวิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานต่างๆ เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนา ทั้งด้านการผลิต บรรจุภัณฑ์ และสินค้าใหม่ในอนาคต
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ที่ไม่ใช่เพียงผู้ผลิตเท่านั้น แต่ผู้บริโภคเองก็ได้รับประโยชน์จาก IIoT เช่นเดียวกัน โดยการนำ IIoT มาปรับใช้กับฉลาก และบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ซึ่งโรงงานผู้ผลิต สามารถบันทึกข้อมูลสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าลงไปในฉลาก หรือบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะได้
รวมทั้งยังสามารถติดตามตรวจสอบสินค้าระหว่างการขนส่งไปจนถึงมือผู้บริโภค โดยผ่านเทคโนโลยีการตรวจรับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของวัตถุดิบ, ข้อมูลอายุการใช้งานและการเก็บรักษาสารที่อาจก่อให้เกิดภูมิแพ้, วันหมดอายุ, หรือข้อมูลอัปเดตอื่นๆ ที่สำคัญ ทำให้ฉลากอัจฉริยะกลายเป็นเครื่องมือป้องกันการปลอมแปลงสินค้า ปัญหาการปนเปื้อนสินค้า การขโมยสินค้า ทั้งยังเป็นตัวช่วยยืดอายุสินค้าให้กับวงการอาหาร และบรรจุภัณฑ์อีกด้วย
ฉลากและบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ จึงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งต้องยกเครดิต ให้กับการปฏิวัติการพิมพ์ระบบดิจิทัล เทคโนโลยีด้านการพิมพ์ และความต้องการของตลาดผลักดันให้เครื่องพิมพ์ ระบบดิจิทัลพัฒนาก้าวหน้าไปมาก สามารถรองรับงานพิมพ์ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ใช้ได้กับงานเฉพาะทางมากขึ้น
ขณะที่กระบวนการพิมพ์กินเวลาน้อยลง ทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยฉลากที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัลในปัจจุบันมีคุณภาพสูง ต้นทุนต่ำ พิมพ์ได้บนวัสดุหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นกระดาษโพลีไวนิล หรือฟอยล์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถผลิตฉลากสำหรับสินค้าทุกประเภท รวมถึงฉลากชริงก์สลีฟส์ (Shrink sleeves) สำหรับบรรจุภัณฑ์ประเภทขวด กล่องกระดาษแข็ง ป้ายแท็กสินค้า ป้ายติดชั้นวางสินค้า เป็นต้น
ในส่วนของระบบซัปพลายเชนปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์ที่มีฉลากพิมพ์ด้วยระบบดิจิทัล สร้างประโยชน์ให้กับเจ้าของแบรนด์สินค้าได้มากกว่าการเป็นแค่เครื่องมือสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าท่ามกลางแบรนด์คู่แข่ง เช่น เมื่อแบรนด์ขนมขบเคี้ยวต้องการมีภาพลักษณ์สินค้าใหม่ ทีมพัฒนาสินค้าจะใช้เครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัลพิมพ์ฉลากต้นแบบแต่ละรสชาติบนฟอยล์ แล้วนำไปขึ้นรูปเป็นถุง และใส่สินค้าจริงก่อนนำไปขายในร้านค้า เพื่อทดลองตลาดก่อน ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายได้มาก แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทีมงานอีกด้วย
ในปี 2551 บริษัท โคคา โคล่า อิสราเอล ได้ใช้เครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัลมาสร้างความฮือฮาในแคมเปญ Refresh Your Sprite โดยเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการออกแบบฉลากกระป๋องสไปรท์ของตัวเอง ซึ่งแคมเปญนี้ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น มีดีไซน์ฉลากส่งเข้ามายังเว็บไซต์ของแคมเปญมากกว่า 1 แสนแบบ
นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการป้องกันการปลอมแปลงสินค้า โดยใช้ร่วมกับระบบการตรวจสอบหมายเลขกำกับ ซึ่งระบบจะติดตามสถานะการขนส่งสินค้า ตรวจสอบทะเบียนประวัติ และระเบียบข้อกำหนดทางอิเล็กทรอนิกส์ ตรวจรับรองสินค้า และตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อป้องกันการปลอมแปลง
เครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัลจึงถูกนำมาใช้ตั้งแต่การพิมพ์งานแบบง่ายๆ ต้นทุนไม่สูงนักอย่างบาร์โค้ด คิวอาร์โค้ด และแถบสีที่ใช้เสริม หรือแทนเทคโนโลยี RFID ขณะที่หลายโรงงานผู้ผลิตเลือกที่จะพิมพ์ภาพ หรือเนื้อหาประกอบสินค้าลงไปในบรรจุภัณฑ์ด้วย
ในแวดวงอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม ไวน์ คือ สินค้าที่ประสบปัญหาการปลอมแปลงอย่างมาก ทำให้ผู้ผลิตเสียชื่อเสียง และเสียความสัมพันธ์กับลูกค้า ผู้ผลิตไวน์เกรดพรีเมียมอย่าง Grand Vin ของฝรั่งเศส จึงป้องกันปัญหานี้ด้วยการใช้ฉลากอัจฉริยะ ที่ไม่เพียงแต่จะมีข้อมูลต้นกำเนิดสินค้าที่เป็นรหัสลับ ข้อมูลขั้นตอน การบรรจุไวน์ลงขวด รหัสลอจิสติกส์เฉพาะที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบไวน์แต่ละขวดได้
แต่ยังรวมไปถึงข้อมูลขั้นตอนการขนส่ง ข้อมูลเพิ่มเติมรูปแบบตัวอักษรขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จึงยากมากต่อการลอกเลียนแบบ นอกจากนี้ ยังมีรหัส CRM ซึ่งเป็นรหัสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และช่วยบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์อีกด้วย
ฉลากอัจฉริยะที่พิมพ์ด้วยระบบดิจิทัล จึงเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อสินค้า เพราะสามารถ รับประกันว่า สินค้าเป็นของแท้ มีคุณภาพ และยังสร้างโอกาสให้แบรนด์สินค้าได้ใกล้ชิดกับผู้ซื้อ เพื่อปูทางสู่การเพิ่มยอดขายในอนาคตได้อีก
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอปสัน ได้ร่วมกับโรงงานผลิตหลายรายจัดทำโซลูชัน RFID ฉลากที่ใส่รหัสสี เพื่อแยกแยะสินค้าในคลังสินค้าให้ง่ายขึ้น สะดวกกว่าการอ่านข้อมูลจากบาร์โค้ด ข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ใน ฉลาก RFID จะทำหน้าที่ระบุตัวชิ้นสินค้า ตรวจสอบสถานะการขนส่ง บริหารการจัดสินค้าคงคลัง และช่วยป้องกัน การปลอมแปลงสินค้าได้ด้วย
ปัจจุบัน เอปสัน มีเครื่องพิมพ์ที่เหมาะกับงานพิมพ์ฉลากสำหรับธุรกิจขนาดเล็กไปถึงธุรกิจโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ อาทิ Epson Color Works เหมาะกับธุรกิจ SME หรือ OTOP ที่มีปริมาณงานพิมพ์น้อย และ Epson SurePress เหมาะกับงานบรรจุภัณฑ์หรือแพ็คเกจจิ้งจำนวนมาก โดยผู้ประกอบการสามารถเลือก กลุ่มและรุ่นสินค้าให้เหมาะกับขนาดธุรกิจของตนเอง
ก้าวต่อไปของบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มยุคอุตสาหกรรม 4.0 คือ การบูรณาการตัวบรรจุภัณฑ์เข้ากับเทคโนโลยี IIoT โดยสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงระบบซัปพลายเชนทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ขนส่ง ผู้ค้าปลีก ไปจนถึงผู้ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มเข้าด้วยกัน
ทุกฝ่ายสามารถติดตามตรวจสอบคุณภาพอาหารได้ตลอดทุกขั้นตอน ข้อมูลอัปเดตต่างๆ สามารถส่งถึงและบันทึกลงในบรรจุภัณฑ์ หรือฉลากอัจฉริยะ เมื่อสแกนบรรจุภัณฑ์ หรือฉลากด้วยอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ ก็จะทราบข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ ซึ่งสามารถนำไปปรับปรุงธุรกิจ และช่วยสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคได้อีกด้วย
แน่นอนว่าบรรจุภัณฑ์แบบดั้งเดิมยังคงช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ต่างๆ ได้ แต่บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ คือ มาตรฐานใหม่ที่ให้ทั้งความสะดวกสบาย คุ้มค่า และอเนกประสงค์เพิ่มขึ้น จากการใช้เครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัล ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ที่ทำให้เกิดการชอปปิ้งแบบอินเทอร์แอ็กทีฟ และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์ และผู้บริโภคเหนียวแน่นยิ่งขึ้นกว่าที่เคย