จากการศึกษาข่าวลือและข่าวปลอมที่เผยแพร่บนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์กว่า 126,000 ชิ้นในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา พบว่า คอนเทนต์เหล่านี้ แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและเข้าถึงผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ได้มากกว่าที่เราคิด
โดยนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์หรือเอ็มไอที (MIT) พบว่า Fake News หรือข่าวปลอมนั้นถูกรีทวีตโดยคนมากกว่าบ็อต (bot) อีกทั้งยังพบว่า ข่าวการเมืองนั้นเป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมสูงสุด ตามมาด้วยเรื่องราวตำนานต่าง ๆ ของเมือง, ธุรกิจ, การก่อการร้าย, วิทยาศาสตร์, บันเทิง และภัยธรรมชาติ
ศาสตราจารย์สินัน อารัล (Prof. Sinan Aral) ผู้ร่วมการศึกษารายงานชิ้นนี้เผยว่า ข่าวปลอมเหล่านี้มีลักษณะคล้ายเรื่องชวนเชื่อ หรือกึ่ง ๆ นิยาย ซึ่งทำให้ดูว่ามันเป็นเรื่องน่าเซอร์ไพรส์มากกว่าข่าวทั่วไป และทำให้คนรู้สึกอยากจะแชร์มากกว่าปกติ
การสำรวจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์วางระเบิดในกิจกรรมบอสตันมาราธอน เมื่อปี 2013 โดยในตอนนั้น ทวิตเตอร์ได้กลายเป็นสื่อหลักที่ศาสตราจารย์และทีมงานติดตามข่าว แต่สุดท้ายเขามาพบว่าที่ติดตามมานั้น มีข่าวปลอมผ่านตาเขามากกว่าที่คิด ซึ่งจากผลการศึกษาชิ้นนี้พบว่า ข่าวปลอมนั้นได้รับการรีทวีตมากกว่าข่าวจริงประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ และมีความรวดเร็วในการเข้าถึงผู้ใช้งาน 1,500 คนได้เหนือกว่าข่าวจริง 6 เท่า
ยกตัวอย่างเช่น ข่าวเหตุการณ์จริงอาจได้รับการแชร์ประมาณ 1,000 คน แต่ข่าวปลอมที่ได้รับความนิยมสูง ๆ นั้น ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ครั้ง
ศาสตราจารย์จีออฟฟรี บีทตี้ (Prof. Geoffrey Beattie) ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Edge Hill ในอังกฤษกล่าวว่า การที่ใครสักคนแชร์ข้อมูลที่คนอื่นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนั้น (ไม่ว่ามันจะจริงหรือเท็จ) จะทำให้คน ๆ นั้นได้รับพลังและความน่าเชื่อถือตามมา ซึ่งกรณีนี้ทำให้ในบางครั้ง ผู้ใช้งานจะขาดความรอบคอบในการพิจารณาว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ไปโดยปริยาย
โดยเขามองว่า การแชร์ข่าวปลอมนี้คล้ายกับการแชร์ข่าวลือ ข่าวซุบซิบ เพราะสิ่งสุดท้ายที่คนจะคิดถึงก็คือ มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
"ทุกวันนี้เราเสพข่าวกันจนอิ่มตัว ดังนั้น คนที่อยากได้ความสนใจจึงต้องหาอะไรที่มันสร้างความแตกตื่นได้ หรือน่ารังเกียจมากพอที่จะได้รับการแชร์ต่อ"