โนเกีย (Nokia) เปิดตัวสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ (Android) รุ่นใหม่ปีนี้ทั้ง Nokia 1, Nokia 6 และ Nokia 7 Plus โดย Nokia 1 รับตำแหน่งรุ่นที่มีราคาสบายกระเป๋าที่สุดด้วยราคาเริ่มต้น 85 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 2,700 บาท ยังมีรุ่นใหญ่ Nokia 8 Sirocco และฟีเจอร์โฟนทรงกล้วยรุ่นใหม่ที่คาดว่าจะเรียกกระแสจากทั่วโลกได้ในช่วงกลางปีนี้
เอชเอ็มดีโกลบอล (HMD Global) ต้นสังกัดวันนี้ของ Nokia ประกาศก่อนการเปิดตัวทัพสมาร์ทโฟนใหม่ประจำปีว่า บริษัทสามารถจำหน่ายอุปกรณ์ติดแบรนด์ Nokia ได้มากกว่า 70 ล้านเครื่องในปี 2017 จากที่เปิดตัวทั้งหมด 11 รุ่น ถือเป็นยอดขายไม่ธรรมดาในช่วงปีแรกที่บริษัทดำเนินกลยุทธ์ดึงให้แบรนด์ Nokia กลับมา
“การเป็นผู้เล่นรายเล็กที่ต้องแข่งขัน ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราในตอนนี้” เพกกา รันทาลา (Pekka Rantala) รองประธานอาวุโสและประธานฝ่ายการตลาดของ HMD Global กล่าวในการสัมภาษณ์ “แต่เราขายโทรศัพท์ Nokia มากกว่า 70 ล้านเครื่องในปี 2017 ตัวเลขนี้สูงกว่าที่เราคาดไว้”
ปัจจุบัน บริษัทมีพันธมิตรค้าปลีกกว่า 100 ราย และมีแผนขยายธุรกิจต่อเนื่องในปีนี้
ในแถลงการณ์ ต้นสังกัด Nokia พยายามระบุว่า สมาร์ทโฟนที่เปิดตัวล่าสุด ถือเป็นการตอกย้ำว่า HMD มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ Android ของกูเกิลมาก โดย Nokia เข้าร่วมโครงการแอนดรอยด์วัน (Android One) ซึ่งแม้แต่รุ่นเล็กอย่าง Nokia 1 ก็ใช้ระบบปฏิบัติการ Android Go
จุดนี้ HMD เชื่อว่า เอกลักษณ์ของ Nokia จะอยู่ในฝีมือการผลิตฮาร์ดแวร์ ซึ่งผู้ใช้จะสัมผัสได้ชัดในกรณีที่ไม่มีระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ประเด็นนี้ยังต้องติดตามต่อไปว่า ตลาดสมาร์ทโฟนโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และความแตกต่างฮาร์ดแวร์จะเพียงพอไหมที่จะกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสมาร์ทโฟนจากแบรนด์ที่เคยเชื่อถือ
สำหรับเรือธงของปีนี้ Nokia ชูรุ่นใหญ่ Nokia 8 Sirocco ซึ่งถูกตั้งราคาไว้ 749 ยูโร (ราว 29,000 บาท) ซึ่งจะมาพร้อมกล้องคู่ Zeiss ระบบเสียงโดดเด่น และผิวกระจกโค้งรอบกรอบสแตนเลสที่วัดได้ 2 มม. บริเวณขอบเครื่อง Nokia 8 Sirocco ใช้จอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้ว แบบ pOLED จุดนี้ Nokia ย้ำว่า วัสดุสเตนเลสมีความแข็งแรงกว่าอลูมิเนียมซีรีส์ 6000 ถึง 2.5 เท่า
นอกจากนี้ ยังชาร์จแบบไร้สาย และเปิดล็อกเครื่องเพื่อใช้โทรศัพท์ด้วยระบบจดจำใบหน้า
Nokia 7 Plus
รุ่นราคารองลงมา คือ Nokia 7 Plus ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 399 ยูโร (ราว 15,500 บาท) ถูกวางจุดเด่นเรื่องกล้องหน้าที่ใช้เลนส์ Zeiss 12MP ซึ่งนับเป็นเครื่องหมายของการกลับมาของ Zeiss ในอุปกรณ์แบรนด์ Nokia สำหรับกล้องหลังนั้น เป็นกล้อง 13MP พร้อมเลนส์ซูม 2 เท่า
กล้องด้านหน้าของ Nokia 7 Plus จะมีเทคโนโลยีเซ็นเซอร์เพื่อรองรับการถ่ายภาพในที่มีแสงน้อย และมีฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “pro camera” ทำให้ Nokia 7 Plus ที่ใช้เลนส์ Zeiss ทั้งหน้าและหลังเปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับรูรับแสง และคุณสมบัติอื่นได้เสรี สามารถดูตัวอย่างก่อนที่จะถ่ายภาพ ยังมีชุดเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยรองรับ AR ได้ดีขึ้น
Nokia 7 Plus ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 660 ถูกการันตีว่าแบตเตอรีใช้งานได้ 2 วัน มีให้เลือกสีดำ/ทองแดง และสีขาว/ทองแดง
Nokia 6
รุ่นรองอันดับถัดไป คือ Nokia 6 ซึ่งประกาศราคาขายปลีกที่ 279 ยูโร (ราว 10,800 บาท) ช่วงเมษายนนี้
Nokia 6 เน้นพลังการประมวลผลที่เร็วขึ้น (เร็วกว่า 60% จากรุ่นก่อนหน้า) และมีความคงทนมากขึ้นทำมาจากอลูมิเนียมซีรีส์ 6000 พร้อมเลนส์ Zeiss มีพอร์ต USB-C รองรับการชาร์จเร็วด่วน ระบบปฏิบัติการ Android Oreo ตามเงื่อนไขของโครงการ Android One
อีกจุดที่น่าสนใจของ Nokia 6 คือ รองรับการชาร์จแบบไร้สาย และความสามารถในการปลดล็อกโทรศัพท์โดยใช้ใบหน้า สะท้อนว่าวันนี้ทั้ง 2 ฟีเจอร์นี้กลายเป็นมาตรฐานสำหรับสมาร์ทโฟนทุกระดับแล้ว
Nokia 6 ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 630 Mobile มีให้เลือกสีดำ/ทองแดง และสีขาว/เงิน และสีน้ำเงิน/ทอง บน 2 ระดับความจุ ได้แก่ รุ่น RAM ขนาด 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB และรุ่น RAM 4 GB/ROM 64GB
Nokia 1
สุดท้าย คือ Nokia 1 สมาร์ทโฟนระดับโลว์เอนด์ที่มีราคาสมเหตุสมผล 85 เหรียญสหรัฐฯ กำหนดการวางจำหน่าย คือ เมษายน จุดเด่น คือ การใช้ระบปฏิบัติการ Android Oreo Go Edition ซึ่งเป็น Android เวอร์ชันที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับโทรศัพท์ที่มีหน่วยความจำ 1 GB หรือน้อยกว่า ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนสีหน้ากากได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ Nokia มีมานานหลายปีตั้งแต่รุ่น Lumia
สรุปแล้ว Nokia ขีดเส้นจำหน่าย 3 รุ่นแรกก่อนในเมษายนนี้ ได้แก่ Nokia 8 Sirocco ราคา 749 ยูโร, Nokia 7 Plus ราคา 399 ยูโร และ Nokia 1 ราคา 85 เหรียญสหรัฐฯ ราคาหน้ากากหลากสีเริ่มที่ 7.99 เหรียญสหรัฐฯ
ขณะที่พฤษภาคมกลางปี Nokia จะทยอยจำหน่ายรุ่นใหม่อีก 2 รุ่น คือ Nokia 6 ราคา 279 ยูโร และ Nokia 8110 ฟีเจอร์โฟนที่จะมีราคาราว 79 ยูโร.