xs
xsm
sm
md
lg

ล็อกซเล่ย์ ตั้ง “ธงชัย” เป็นประธานกรรมการบริษัท จัดทัพใหม่ มุ่งโตทั้งรายได้และกำไร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


คณะกรรมการบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ได้มีมติแต่งตั้ง นายธงชัย ล่ำซำ เข้าดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท แทนนายไพโรจน์ ล่ำซำ ซึ่งถึงแก่อนิจกรรมไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไป

นายธงชัย ล่ำซำ เริ่มทำงานที่บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2513 จนถึงปัจจุบัน และดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ระหว่างปี 2527-2559 ด้วยประสบการณ์อันยาวนาน และความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการธุรกิจ คณะกรรมการบริษัทเชื่อมั่นว่า การแต่งตั้งนายธงชัย จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท และสานต่อนโยบายของนายไพโรจน์ต่อไป

ทั้งนี้ นายธงชัย ล่ำซำ จบการศึกษาระดับประถมศึกษาจากวชิราวุธวิทยาลัย ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนสาธิตปทุมวัน และมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จบการศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยม) สาขาวิศวกรรมเคมี จากแผนกเคมีเทคนิค คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาโท M.Sc. จาก Illinois Institute of Technology, U.S.A.

นอกจากนี้ ยังเคยผ่านหลักสูตร Advanced Management Program, Harvard Business School, U.S.A. หลักสูตรการวางแผนกลยุทธ์ จาก IMD (institute of Management Development) สวิสเซอร์แลนด์ หลักสูตร Director Accreditation Program โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

*** มุ่งโตทั้งรายได้และกำไร ภายหลังตั้งสำรองเต็มจำนวนในปี 2560 เพื่อปลดล็อกการตั้งสำรองในอนาคต

นายสุรช ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ล็อกซเล่ย์ เปิดเผยผลการดำเนินงานของปี 2560 ที่ผ่านมาว่า กลุ่มล็อกซเล่ย์ ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยทำรายได้อยู่ที่ 15,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปี 2559 และผลกำไรจากการดำเนินงานปกติของปี 2560 อยู่ที่ 351 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 266 ล้านบาทในปีก่อนหน้า แต่กำไรสุทธิที่ลดลงมาเป็น 50 ล้านบาท เนื่องจากมีรายการตั้งสำรองที่ 397 ล้านบาท สาเหตุที่ต้องมีการตั้งสำรองสำรองสูงดังกล่าว เพราะบริษัท ตั้งสำรองเต็มจำนวนเพื่อลดภาระการตั้งสำรองที่เกิดขึ้นทุกปี

“การจัดทัพใหม่ของบริษัทฯ แบ่งเป็น 5 กลุ่มธุรกิจ ส่งผลดีต่อบริษัทฯ ในการลบภาพการทำธุรกิจหลากหลายแบบเดิม ๆ ซึ่งมีทั้งธุรกิจที่ทำกำไร และขาดทุน การจัดทัพใหม่ บริษัทฯ เลือกเฉพาะธุรกิจที่ทำกำไร มีศักยภาพ และอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต ในแต่ละกลุ่มธุรกิจจะมีหน่วยงานที่มีสายงานที่ใกล้เคียงกัน มีลักษณะที่เอื้อกันทำให้สามารถสร้างจุดแข็งเพื่อต่อยอดรายได้ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน รวมทั้งสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนกัน คือ มี Synergy ทั้งด้านการเพิ่มรายได้ และการลดค่าใช้จ่าย” นายสุรช กล่าว

ขณะที่ภาพรวมแผนธุรกิจของปีนี้ บริษัทฯ วางกลุ่มธุรกิจบริการอาหารและจัดจำหน่าย และกลุ่มพลังงาน เป็นกลุ่มที่มีฐานรายได้ที่แข็งแกร่ง ส่วนกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจเน็ตเวิร์กโซลูชันส์ และธุรกิจบริการเป็นกลุ่มที่ผลักดันการเติบโตของรายได้ในปี 2561 ซึ่งการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ จะได้แรงหนุนจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National E-payment Plan) ค่อนข้างมาก รวมทั้งฐานลูกค้าเดิมทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ที่มีการลงทุนเพิ่มด้านเทคโนโลยีสารสนเทศตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0

ส่วนกลุ่มธุรกิจเน็ตเวิร์กโซลูชัน ตัวเร่งหลักมาจากงานติดตั้งระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าและระบบตรวจจับวัตถุระเบิด (ขาออก) โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่บริษัทฯ เพิ่งได้งานมา 3,600 ล้านบาท ส่วนกลุ่มธุรกิจบริการ ตัวเร่งจะมาจากความต้องการด้านบริการงานรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมท่าอากาศยานจาก ทั้งกฎระเบียบ และจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น

สำหรับรายได้ปีนี้ ตั้งเป้าเติบโต 15-20% ซึ่งจุดแข็ง คือ บริษัทมีฐานรายได้ประมาณ 10,500 ล้านบาท ซึ่งมาจากงานในมือที่ได้มาแล้ว 10,659 ล้านบาท ซึ่งตามสัญญาจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 7,200 ล้านบาท กับฐานรายได้กลุ่มธุรกิจบริการอาหารและจัดจำหน่าย ประมาณ 3,300 ล้านบาท รวมทั้งงานตามแผนเข้าประมูลในปีนี้มากกว่า 20,000 ล้านบาท

ในด้านกำไร บริษัทฯ มีความมั่นใจมากขึ้น ทั้งจากลดภาระการตั้งสำรอง การจัดทัพที่มี Synergy ทั้งการเพิ่มรายได้และการลดค่าใช้จ่าย ที่สำคัญ คือ ฐานกำไรจากส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมที่ลดลงในปี 2560 แต่ตามแผนปี 2561 ส่วนแบ่งกำไรจะเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากกำไรของบริษัทร่วมที่ลดลงในปี 2560 เป็นรายการ One-time รวมทั้งแผนการเติบโตทั้งรายได้ และการทำกำไรของปีนี้จากบริษัทร่วม ที่ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจมากขึ้น

“กรณีลูกหนี้การค้าขององค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) บริษัทย่อย คือ บมจ. ล็อกซเล่ย์ ไวร์เลส และ สกสค. ได้เข้าทำสัญญาประนีประนอมยอมความในเดือนธันวาคม 2560 โดยจากมูลหนี้คงค้าง 1,386 ล้านบาท สกสค. ตกลงชำระหนี้โดยการผ่อนชำระภายในระยะเวลา 6 ปี เริ่มต้นชำระในเดือนมกราคม 2561 ซึ่งในการผ่อนชำระทำให้มีส่วนต่างระหว่างมูลค่าหนี้คงค้างกับมูลค่าหนี้ปัจจุบันของกระแสเงินสดที่จะได้รับชำระ ส่งผลทำให้บริษัทย่อยมีผลขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้เป็นจำนวน 337 ล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งผลขาดทุนเต็มจำนวนในปี 2560 โดยปัจจุบันการชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีการชำระหนี้ตามปกติ”



กำลังโหลดความคิดเห็น