วันที่ 25 พฤษภาคม อาจเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของสหภาพยุโรป กับการมีผลบังคับใช้ของกฎหมายปกป้องข้อมูลในชื่อ General Data Protection Regulation หรือ GDPR เพื่อควบคุมภาคธุรกิจในการใช้และเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานอย่างเข้มงวด ผลกระทบนั้น แน่นอนว่าจะตกอยู่กับบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติที่เข้ามาให้บริการในสหภาพยุโรป เนื่องจากพวกเขาจะไม่สามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้นได้ตามอำเภอใจอีกต่อไป
บริษัทที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับต้น ๆ คือ เฟซบุ๊ก (Facebook) เนื่องจากมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาร์ลอส III ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน ทำวิจัยเอาไว้พบว่า เฟซบุ๊กอาจครอบครองข้อมูลของประชากรในสหภาพยุโรป ทั้งในเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนไว้มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดในอียู หรืออาจคิดเป็นตัวเลขที่ 205 ล้านคน
ส่วนกฎหมายใหม่ที่กำลังจะบังคับใช้นั้น ครอบคลุมถึงการห้ามตรวจสอบประเภทข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวสูง เช่น มุมมองทางการเมือง ศาสนา รสนิยมทางเพศ ฯลฯ และภายใต้ GDPR Facebook ต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากผู้ใช้งานเท่านั้น จึงจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ได้
เจ้าของงานวิจัยชิ้นนี้อย่าง José González Cabañas, Ángel Cuevas และ Rubén Cuevas กล่าวว่า หนึ่งในเหตุผลที่ Facebook เก็บข้อมูลความสนใจของผู้ใช้งานอย่างละเอียดเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการแสดงผลโฆษณา ซึ่งหมายความว่า บริษัทมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์อย่างการขายโฆษณา ซึ่งขัดกับบางส่วนของกฎหมายใหม่อย่าง GDPR และมีโทษปรับเท่ากับ 4 เปอร์เซ็นต์ของผลประกอบการทั่วโลกของบริษัท
