xs
xsm
sm
md
lg

เกิดใหม่ไฉไลกว่า “Vaunt” แว่นอัจฉริยะจาก Intel

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

แว่น Vaunt มีรูปลักษณ์เรียบง่าย ไม่มีกล้อง ไม่มีหน้าจอ และไม่มีสายโยงใดๆ ไม่ต่างจากแว่นตาปกติ
เป็นเวลา 6 ปีแล้วนับตั้งแต่กูเกิล (Google) เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะให้ชาวโลกได้รู้จัก แต่แว่นไฮเทคไม่สามารถจุดประกายหรือปฏิวัติวงการอย่างที่คาดไว้ แถมแว่นที่มีราคากว่า 1,500 เหรียญหรือ 47,000 บาทยังถูกตราหน้าว่ามีจุดบอดหลากหลาย ว่ากันว่าอินเทล (Intel) เรียนรู้จุดอ่อนเหล่านี้ แล้วกำจัดเรียบไม่เหลือซากใน “โวนต์” (Vaunt) จนทำให้ต้นแบบแว่นไฮเทคของ Intel ถูกยกนิ้วว่า “มีอนาคต”

การเปิดตัวแว่น Vaunt เกิดขึ้นผ่านสื่อออนไลน์อย่างเดอะเวิร์จ (The Verge) ซึ่งได้รับแว่นไปทดสอบก่อนใคร สิ่งที่เห็นชัดเจนคือแว่นตาอัจฉริยะรุ่นต้นแบบแตกต่างจากแว่นที่โลกรู้จักมากที่สุดอย่างกูเกิลกลาส (Google Glass) เพราะรูปลักษณ์เรียบง่าย ไม่มีกล้อง ไม่มีหน้าจอ และไม่มีสายโยงใดๆ ไม่ต่างจากแว่นตาปกติ

จุดเด่นของต้นแบบอย่าง Vaunt เมื่อเปรียบเทียบกับ Google Glass รุ่น Enterprise ที่กลับมาเปิดตัวอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 2017 คือน้ำหนักที่ต่างกัน หน้าจอคนละหลักการ รวมถึงการเชื่อมต่อ แบตเตอรี่ และราคาที่ไม่เหมือนกันเลย

Vaunt ถูกพัฒนาให้มีน้ำหนักไม่เกิน 50 กรัม หนักกว่า Google Glass ที่ชั่งได้ 33 กรัม แต่ Google Glass ทำหน้าที่เป็นแว่นตาที่ 2 ซึ่งผู้ที่สวมแว่นตา จะต้องสวมทับแว่นตาเดิม ต่างจาก Vaunt ที่ทำหน้าที่เป็นแว่นสายตาด้วยในตัว จุดนี้ถือเป็นสิ่งที่โดนใจผู้สวมแว่นตาทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ Vaunt แจ้งเกิดได้เร็วขึ้นผ่านคนกลุ่มนี้



หน้าจอแสดงผลของ Vaunt ต่างกับ Google Glass ที่ใช้ปริซึม ให้ดวงตาผู้สวมมองเห็นภาพเท่ากับหน้าจอ 640x480 โดยผู้สวมจะต้องมองขึ้นด้านบนขวา เพื่อดูการแจ้งเตือนผ่านหน้าจอสีสันสดใส

ในทางกลับกัน Vaunt ใช้วิธีส่องแสงเลเซอร์เข้าไปในดวงตา โดยการสะท้อนภาพสีแดง-ขาวดำ ที่มีขนาดประมาณ 400x150 พิกเซลไปยังจอตาหรือเรตินาของผู้สวม ทำให้ใช้พลังงานต่ำ และภาพจะหายไปจากสายตาเมื่อผู้ใช้มองไปทางอื่น

สิ่งสำคัญคือ Vaunt ไม่มีกล้องถ่ายภาพใดฝังในตัว ต่างจาก Google Glass ที่มีกล้องถ่ายรูป 8 ล้านพิกเซลสำหรับการถ่ายภาพ แถมยังมีเซ็นเซอร์บารอมิเตอร์ ระบบวัดระดับความสามารถในการยึดจับบานพับและศีรษะเพื่อตรวจสอบว่าแว่นตาเปิดทำงานอยู่หรือไม่ และระบบนำทาง GPS และ GLONASS ผ่านบลูทูธ (Bluetooth) และไว-ไฟ (Wi-fi) ทำให้แว่นเชื่อมกับอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ที่จะเปิดแอปพลิเคชันคู่กันไป
Google Glass รุ่น Enterprise ที่กลับมาเปิดตัวอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 2017
แต่ Vaunt ตัดทิ้งเซ็นเซอร์เหล่านี้ เหลือเพียง Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์แอนดรอยด์หรือไอโอเอส จุดนี้คล้ายกับหลักการของนาฬิกาอัจฉริยะ (smartwatch) ซึ่งคำสั่งจะถูกส่งผ่านแว่นตาและการแสดงผลตามสิ่งที่ถูกป้อนเข้าสู่ระบบ จุดนี้ Vaunt เลือกใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับองศาการเอียงหรือ accelerometer และเข็มทิศในช่วยให้ผู้ใช้โต้ตอบกับการแจ้งเตือนในระบบ

เบื้องต้น อายุการใช้งานแบตเตอรี่สำหรับ Vaunt ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ Intel กำหนดเป้าหมายที่ 18 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ในทางกลับกัน Enterprise Glass ใช้แบตเตอรี่ขนาด 780 mAh เพื่อให้เพียงพอที่จะใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้งเท่านั้น

เช่นเดียวกับราคา แม้ Vaunt จะยังไม่มีการเปิดตัวราคาที่แน่นอน แต่นักวิเคราะห์ฟันธงว่า Vaunt จะมีราคาต่ำกว่าแว่นของ Google ที่เคยตั้งราคาไว้ช่วงแรก 1,500 เหรียญ โดย Google Glass รุ่น Enterprise ที่เปิดจำหน่ายเมื่อปีที่แล้วนั้นไม่มีข้อมูลราคา เนื่องจากเป็นการจัดส่งตรงจากผู้ผลิต
หน้าจอแสดงผลของ Vaunt ต่างกับ Google Glass ที่ใช้ปริซึม
Vaunt ตัดทิ้งเซ็นเซอร์เสริม เหลือไว้แต่เซ็นเซอร์หลักและ Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์แอนดรอยด์หรือไอโอเอส
ขีดเส้นส่งนักพัฒนาปลายปีนี้

จนถึงตอนนี้ สื่ออเมริกันมองว่าแว่นตาอัจฉริยะของ Intel ดูเหมือนจะน่าสนใจมากกว่า Google เบื้องต้นคาดกันว่า Intel จะพัฒนา Vaunt สำเร็จเพื่อส่งให้นักพัฒนาได้ทันภายในปีนี้

ชุดโปรแกรมพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับ Vaunt หรือ SDK จะถูกแจ้งเกิดก่อนเพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถคิดค้นแอปพลิเคชันที่จะทำให้ Vaunt มีประโยชน์มากขึ้น จุดนี้มีความเป็นไปได้ว่า Vaunt จะมีรูปแบบการทำงานเหมือนนาฬิกาสมาร์ทวอตช์ ที่จะแสดงผลจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋า

Vaunt ใช้วิธีส่องแสงเลเซอร์เข้าไปในดวงตา โดยการสะท้อนภาพสีแดง-ขาวดำ ที่มีขนาดประมาณ 400x150 พิกเซลไปยังจอตาหรือเรตินาของผู้สวม
จากการสาธิต ผู้สวม Vaunt จะสามารถดูวันเกิดของบุคคล และข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ในขณะที่กำลังพูดคุยสนทนากับบุคคลนั้นทางโทรศัพท์ ผู้ใช้ Vaunt จะสามารถดูและตอบกลับการแจ้งเตือน ขณะเดียวกันก็สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่รอบตัว

ที่สำคัญ ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมกับบริการดิจิทัล โดยที่ไม่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว เพราะการแจ้งเตือนจะหายไปถ้าผู้สวมเพิกเฉย หรือมีการขยับศีรษะเล็กน้อยเพื่อยกเลิกการแจ้งเตือน

Vaunt คือผลงานการพัฒนาของทีม New Devices Group (NDG) ของ Intel ซึ่ง Itai Vonshak หัวหน้าทีมระบุว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์จะสามารถเริ่มต้นใช้แว่นตาไฮเทคนี้ได้ภายในปีนี้

แต่ข้อจำกัดของ Vaunt คือผู้ที่สวมแว่นตาอยู่แล้ว จะต้องปรับให้เลนส์ของ Vaunt เข้ากับสายตาของผู้ใช้ ขณะเดียวกัน Vaunt ยังมีความสามารถจำกัดเฉพาะการแสดงการแจ้งเตือนและคำแนะนำเส้นทางเบื้องต้น ไม่มีกราฟฟิกสีสันสดใส ทั้งหมดนี้เป็นผลจากเทคโนโลยีเลเซอร์ Vertical Cavity Surface Emitting Laser หรือ VCSEL และการฉายภาพโฮโลแกรมไปยังดวงตา
เทคโนโลยีเลเซอร์ Vertical Cavity Surface Emitting Laser หรือ VCSEL
ภาพจะหายไปจากสายตาเมื่อผู้ใช้มองไปทางอื่น
ความเคลื่อนไหวนี้เป็นผลจากการที่ Intel เทงบลงทุนในธุรกิจอุปกรณ์ไฮเทคสวมใส่ได้หรือ wearable ด้วยการซื้อบริษัทคู่แข่ง Google Glass ชื่อเรคอน (Recon) เมื่อปี 2015 ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยี AR ในแวนคูเวอร์ด้วยมูลค่า 175 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ Intel มีทีมงานวิจัยและพัฒนามากกว่า 75 คนภายใต้ทีม New Devices Group

การพัฒนา Vaunt จะถือเป็นการสาธิตให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายอื่นได้เห็นแนวทางพัฒนาแว่นอัจฉริยะในอนาคต ทำให้ Intel ไม่ได้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับบริษัทฮาร์ดแวร์รายอื่น โดยขณะนี้ มีข่าวลือมากมายว่าแอปเปิล (Apple) และแอมะซอน (Amazon) รวมถึงอีกหลายบริษัท ที่เชื่อว่ากำลังซุ่มพัฒนาแว่นตาไฮเทคของตัวเอง ซึ่งมีทางเป็นไปได้สูงว่าแว่นของทุกคนจะทำงานในลักษณะนี้

จุดนี้ บางรายงานยังอ้างแหล่งข่าววงในว่า Apple อาจเปิดตัวแว่น AR ของตัวเองในปี 2019 หรือ 2020 ก็ได้ แสดงว่าวงการแว่นอัจฉริยะในอนาคต จะไฉไลกว่าที่เคยเป็นมาแน่นอน.
Google Glass ทำหน้าที่เป็นแว่นตาที่ 2 ซึ่งผู้ที่สวมแว่นตา จะต้องสวมทับแว่นตาเดิม ต่างจาก Vaunt (ภาพขวา) ที่ทำหน้าที่เป็นแว่นสายตาด้วยในตัว


กำลังโหลดความคิดเห็น