xs
xsm
sm
md
lg

Xiaomi เร่งขยายช่องทางจำหน่าย ใช้ความคุ้มค่ามัดใจผู้ใช้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสี่ยวมี่ (Xiaomi) ประกาศแผนการขยายช่องทางจำหน่ายแบบออฟไลน์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เตรียมเพิ่มจุดขายอีกกว่า 200 แห่งภายในสิ้นปีนี้ พร้อมชูแนวคิดสมาร์ทโฟนราคาคุ้มค่ามัดใจผู้บริโภค ชี้ตลาดถึงช่วงเวลาผู้ใช้เปลี่ยนจากเครื่องโอเปอเรเตอร์สู่แบรนด์สมาร์ทโฟน เป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้เสี่ยวมี่เติบโต

นายจอห์น เฉิน ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสี่ยวมี่ กล่าวถึงภาพรวมในตลาดสมาร์ทโฟนปีนี้ว่า ไทยยังถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงจากจำนวนสมาร์ทโฟนราว 14-20 ล้านเครื่องในแต่ละปี ซึ่งถือเป็นอันดับต้น ๆ ในภูมิภาค

“ถ้ามองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยถือเป็นตลาดที่ใหญ่รองจากอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มีจำนวนประชากรมากกว่าเท่านั้นในแง่ของจำนวนเครื่อง ในขณะที่ถ้ามองในมุมของมูลค่าเฉลี่ยสมาร์ทโฟน ก็จะรองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่มีประชากรน้อยกว่า”

ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่เสี่ยวมี่ จะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง และเป็นตลาดที่พิสูจน์ถึงความสำเร็จของเสี่ยวมี่ในภูมิภาคนี้ ประกอบกับการที่ จอห์น เฉิน ดูแลตลาดด้วยกัน 5 ประเทศ คือ ฟิลิปปินส์, ไทย, พม่า, กัมพูชา และลาว และเลือกที่จะตั้งสำนักงานในประเทศไทยภายในครึ่งปีนี้

นอกจากนี้ ด้วยแนวคิดในการทำตลาดของเสี่ยวมี่ มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงเทคโนโลยีในระดับราคาที่เหมาะสม ดังจะเห็นได้ว่า ราคาสมาร์ทโฟนของเสี่ยวมี่ เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดในระดับสเปกเดียวกัน ราคาจะต่ำกว่า 30-50%

***ถึงเวลาเปลี่ยนมือถือ

ขณะเดียวกัน ยังมองถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงราคาต่ำกว่าหมื่นบาทยังเติบโตได้ เกิดจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โอเปอเรเตอร์มีการเร่งเปลี่ยนผ่านจากโทรศัพท์ที่ใช้งาน 2G เป็น 3G ซึ่งด้วยระยะเวลาใช้งานของสมาร์ทโฟนก็เชื่อว่า ในปีนี้จะถึงเวลาที่ผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนเครื่องแล้ว

“แม้ว่านักวิเคราะห์หลายรายมองว่า ตลาดสมาร์ทโฟนในระดับกลางบนจะเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง แต่เสี่ยวมี่ยังมองว่า สมาร์ทโฟนในระดับราคาต่ำกว่า 5,000 บาท ที่มีสัดส่วนมากกว่า 50% ยังถือเป็นตลาดที่น่าสนใจอยู่ และเตรียมเพิ่มไลน์สินค้าเข้ามาในตลาดนี้ด้วย”

***สร้างฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางออนไลน์-ออฟไลน์

สำหรับกลยุทธ์หลักของเสี่ยวมี่ ในการรุกตลาดประเทศไทย จะเน้นไปที่ 3 ส่วนหลัก ๆ คือ 1. การสร้างกลุ่มผู้ใช้เสี่ยวมี่ (Mi Fan) ที่จะกลายเป็นฐานลูกค้าสำคัญ ทั้งเป็นเพื่อน การมีทีมช่วยสนับสนุน และสื่อสารกับกลุ่มผู้ใช้ตลอดเวลา

“ตอนนี้แทบจะไม่มีแบรนด์ไหนในตลาดที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปพูดคุย เสนอแนะข้อมูลแก่ทีมงานของแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนได้ ขณะเดียวกัน แบรนด์ก็ยังสามารถรับฟังความต้องการของผู้บริโภค ในการเลือกนำสินค้าเข้ามาทำตลาดได้ด้วย”

2. การพัฒนาช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ผ่านผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ เนื่องจากถือเป็นจุดกำเนิดของเสี่ยวมี่เลยก็ว่าได้ โดยในไทยเสี่ยวมี่ ได้มีการร่วมมือกับลาซาด้า, ชอปปี้, และอีเลฟเว่นสตรีท ที่เป็น 3 อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในประเทศไทย

“การที่เลือกใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซ เพราะเชื่อว่าเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่อเทียบกับค้าปลีกในรูปแบบเดิมที่ต้องผ่านคนกลางหลายชั้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการมากขึ้น ในขณะที่ช่องทางอีคอมเมิร์ซ แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ผ่านแพลตฟอร์มทันที”

การทำตลาดผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซของเสี่ยวมี่ จะมีทั้งการทำโปรโมชั่นพิเศษลดราคาให้ลูกค้าในรูปแบบของ Flash Sale รวมถึงการคัดเลือกโมเดลพิเศษจำหน่ายเฉพาะช่องทางอีคอมเมิร์ซเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความพิเศษที่ได้ และหันมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น

สุดท้าย 3. การเร่งขยายสาขาเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่ร่วมกับพาร์ตเนอร์เปิด Mi Store ไปแล้ว 4 สาขา และกำลังจะเพิ่มเป็น 5 สาขาในเดือนนี้ ก็มีแผนที่จะเพิ่ม Mi Store อีก 25 สาขาในปีนี้ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงการเข้าไปร่วมกับร้านค้าที่เป็นมัลติสโตร์ในการเข้าไปเพิ่มจุดจำหน่ายสินค้าของเสี่ยวมี่ โดยเฉพาะภายในร้านอีกราว 75 แห่ง ไม่นับรวมกับผ่านช่องทางร้านค้าปลีกอย่างเจมาร์ท และทีจีโฟน ที่จะครอบคลุมอีกเกือบ ๆ 100 สาขาในปีนี้ ทำให้รวม ๆ แล้ว ภายในสิ้นปี เสี่ยวมี่ จะมีช่องทางจำหน่ายออฟไลน์กว่า 200 จุด

อย่างไรก็ตาม ในการเลือกนำสินค้าของเสี่ยวมี่ เข้าไปจำหน่าย นอกเหนือจากสมาร์ทโฟนแล้ว พวกสินค้าที่อยู่ใน Mi Ecosystem ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือุปกรณ์เสริมต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับพื้นที่ของแต่ละจุดว่าสามารถนำสินค้าเข้าไปเติมเต็มได้หรือไม่ แต่หลัก ๆ แล้ว ใน Mi Store จะมีสินค้าทุกประเภทของเสี่ยวมี่

“ในแง่ของความร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์ในการจำหน่ายสมาร์ทโฟนเสี่ยวมี่ ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการพูดคุย แต่เชื่อว่าจะได้เห็นกันในปีนี้อย่างแน่นอน และอาจจะมีในรูปแบบของการจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่โอเปอเรเตอร์ด้วย”

นอกจากนี้ ภายในช่วงไตรมาส 1 นี้ ทางเสี่ยวมี่ จะมีการนำสมาร์ทโฟนที่เพิ่งเปิดตัวในจีนช่วงปลายปีที่ผ่านมา อย่าง Xiaomi Redmi 5A Redmi 5 และ Redmi 5 Plus เข้ามาทำตลาดในช่วงราคา 3,000-7,000 บาท ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้เสี่ยวมี่สามารถเติบโตในตลาดสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่าหมื่นบาทได้อย่างมีนัยสำคัญ


กำลังโหลดความคิดเห็น