นับจากนี้ไปอุตสาหกรรมการเงินการธนาคารของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ที่โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อผู้คนมากมายทั่วโลกถึงกว่า 4.5 พันล้านคน และด้วยความทรงพลังของการเชื่อมต่อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเข้ากับอินเทอร์เน็ต จึงทำให้ผู้คนทั่วโลกสามารถทำธุรกรรมทุกรูปแบบผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ดังกับว่าเรามีธนาคารเคลื่อนที่ไปกับเราตลอดเวลา
ตั้งแต่ปี 2009 ที่ Blockchain เริ่มปรากฏตัว โดยทำหน้าที่คล้ายกับโรงงานผลิตสินค้าแบบอัตโนมัติบนอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่ประกอบวัตถุดิบทุกชิ้นเข้าด้วยกัน ไปจนถึงการระบุรหัสประจำตัวให้กับสินค้าทุกชิ้นเพื่อป้องกันการปลอมแปลง และด้วยขีดความสามารถนี้ของ Blockchain จึงมีคนนำมันมากำหนดรูปแบบการทำธุรกรรมแบบปลอดภัยและเชื่อถือได้บนอินเทอร์เน็ต ด้วยการพิสูจน์ (Proof) แทนที่จะเป็นเพียงการเชื่อใจ (Trust) เท่านั้น จึงทำให้มีแนวโน้มว่าโลกในอนาคตภายใน 10 ปีนี้ ผู้คนจะสามารถโอนเงินและทำธุรกรรมทุกรูปแบบโดยตรงกันเอง (Peer-to-peer) โดยไม่ต้องพึ่งตัวกลาง เช่น สถาบันทางการเงินและธนาคารอีกต่อไป รวมทั้งจะเกิดสถาบันทางการเงินรูปแบบใหม่บน Blockchain
ในวันนี้จึงมีการระดมทุนในรูปแบบ Initial Coin Offering (ICO) เพื่อที่จะสร้างธุรกิจเสมือน (Virtual business model) ออกมาในรูปแบบ Cryptocurrency บน Blockchain ที่เรารู้จักในนาม Bitcoin ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว Bitcoin เป็นเพียง Cryptocurrency อันดับ 1 ใน 1,300 กว่าสกุล
และในวันนี้เองประเทศไทยได้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นโดยบริษัท Jaymart ได้ประกาศเสนอการระดมทุนในรูปแบบ ICO ด้วยการสร้าง Cryptocurrency ที่ชื่อว่า “JFin Coin” ซึ่งถือว่าเป็น Cryptocurrency สัญชาติไทยรายแรก ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเป็นตัวกระตุ้นให้สถาบันการเงินการธนาคารต้องกลับมาทบทวนรูปแบบการให้บริการที่เริ่มมีความท้าทายมากขึ้นอย่างยิ่ง โดย JFin Coin มีรูปแบบทางธุรกิจในการให้บริการเงินกู้ในระดับบุคคลทั่วไป ซึ่งจะสามารถเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่นอกการให้บริการของธนาคาร
ปรากฏการณ์นี้อาจจะมีประวัติศาสตร์ซ้ำรอย คล้ายกรณีที่บริษัท Blockbuster ที่ให้บริการเช่า VDO ตามสาขามากมายในสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อบริษัท Netflix ผู้ให้บริการ VDO online ผ่านอินเทอร์เน็ตเข้ามาในตลาด โดยเข้าไปเจาะตลาดล่างซึ่งเป็นตลาดที่ Blockbuster ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก แต่ด้วยความประมาททำให้ในเวลาต่อมามีการพัฒนาเทคโนโลยี WiFi และ mobile internet อย่างก้าวกระโดดจนทำให้บริษัท Netflix ขยายบริการเข้าไปกินตลาดทั้งหมดของ Blockbuster จนทำให้ Blockbuster ต้องล้มละลายในที่สุดในปี 2010
แต่เบื้องหลังที่น่าสนใจของการล่มสลายของ Blockbuster คือ “ความประมาท” ของยักษ์ใหญ่ โดยในปี 2000 ผู้ก่อตั้ง Netflix ได้เห็นโอกาสหลังจากที่ระบบ 3G เริ่มเกิดขึ้น จนทำให้เขาตัดสินใจบินไปเมือง Dallas เพื่อขอพบ CEO ของ Blockbuster ที่ชื่อ John Antioco และผู้บริหารของ Blockbuster เพื่อยื่นข้อเสนอเพื่อทำธุรกิจร่วมกันโดย Netflix เสนอว่าจะดำเนินธุรกิจให้กับ Blockbuster ในส่วนของ Online และขอให้ Blockbuster ช่วยโปรโมทตราสินค้าให้กับ Netflix ในทุกร้านสาขาของ Blockbuster ผลปรากฏว่า John Antioco, CEO ของ Blockbuster ได้หัวเราะออกมาลั่นห้องประชุมทันที แต่หลังจากสิ้นเสียงหัวเราะไปไม่กี่ปีการล้มสลายของ Blockbuster ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ว่า
“ความประมาทและความไม่รู้จริงของผู้บริหารยุคดิจิทัล จะนำพาให้องค์กรล่มสลาย”
JFin Coin จึงอาจจะเป็นปลาเร็วกินปลาช้าตัวใหญ่ ในอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร ในอนาคตอันใกล้ก็เป็นได้
อ้างอิงจาก
https://www.jfincoin.io
https://www.forbes.com/sites/gregsatell/2014/09/05/a-look-back-at-why-blockbuster-really-failed-and-why-it-didnt-have-to/?s=trending#42fb3d801365