หลังจากที่ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปกับบริษัทเทคโนโลยีมีการต่อสู้กันมายาวนานเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ใช้งานที่บริษัทเทคโนโลยีไม่ยอมแชร์ให้กับภาครัฐ ล่าสุด ประเทศที่เพิ่งแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างสหราชอาณาจักรก็เตรียมใช้กฎหมายด้านภาษีใหม่กับบริษัทเทคโนโลยีอย่างกูเกิล (Google) และเฟซบุ๊ก (Facebook) แล้ว เพื่อหวังให้บริษัทเทคโนโลยีให้ความร่วมมือมากขึ้นกับทางการ
ผู้ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ คือ เบน วอลเลส (Ben Wallace) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ที่ระบุว่า ที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีทำรายได้จากการใช้ข้อมูลของผู้บริโภคสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเอง แต่สำหรับรัฐบาลไม่เคยได้รับความร่วมมือในการใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการรักษาความปลอดภัย หรือใช้ในทางป้องกันการก่อการร้ายเลย
“ถ้าพวกเขายังไม่ให้ความร่วมมือ เราก็อาจต้องใช้วิธีการทางภาษีเป็นหนทางในการจูงใจพวกเขา หรือไม่ก็ใช้เป็นบทลงโทษ”
ทั้งนี้ วอลเลส มองว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่นั้น สนใจกับผลกำไรส่วนตัวมากกว่าความปลอดภัยของสาธารณะ โดยกล่าวแรงว่า บริษัทเทคโนโลยีนั้นแสร้งนั่งบนถุงบีนแบ็ก ใส่เสื้อทีเชิร์ต แล้วก็ทำกำไรจากข้อมูลของผู้บริโภคอย่างไร้ความปราณี แต่ไม่เคยให้ข้อมูลกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐมนตรีอังกฤษต้องออกมาแสดงความฉุนเฉียวส่งท้ายปี อาจเป็นเพราะอังกฤษต้องเผชิญเหตุก่อการร้ายจากกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงในปี 2017 ที่ผ่านมา เป็นจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตถึง 36 ศพ เช่น เหตุการณ์ที่ลอนดอนบริดจ์ เป็นต้น
สื่ออย่างซันเดย์ไทม์ ได้อ้างคำพูดของรัฐมนตรีวอลเลสว่า การให้ความไว้วางใจกับอินเทอร์เน็ตทำให้อังกฤษในยุคนี้เสี่ยงต่อภัยก่อการร้ายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ 100 ปี ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีได้ช่วยให้ผู้ก่อการร้ายทำงานง่ายขึ้น เพราะบริษัทเหล่านี้เลือกที่จะไม่นำข้อมูลของกลุ่มก่อการร้ายออกจากระบบ รวมถึงยังเป็นแหล่งชี้นำข้อมูลชั้นดีสำหรับการวางระเบิดด้วย โดยรัฐมนตรีอังกฤษได้ยกตัวอย่างชื่อของแอปพลิเคชันส่งข้อความ วอตส์แอป (WhatsApp) ของเฟซบุ๊กออกมาด้วย
ทั้งนี้ อังกฤษระบุว่า ปัญหาเหล่านี้ทำให้อังกฤษต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องดูแล ซึ่งคิดเป็นเงินภาษีหลายร้อยล้านปอนด์ที่ประเทศต้องแบกรับ
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวซีเอ็นบีซี ระบุว่า รัฐมนตรีอังกฤษไม่ได้เผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนภาษีใหม่ที่จะใช้จัดการกับบริษัทเทคโนโลยีออกมาก จึงอาจต้องรอติดตามกันต่อไปว่า ทางอังกฤษจะมีมาตรการเช่นไร